See also ebooksgratis.com: no banners, no cookies, totally FREE.

CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
วังเชอนงโซ - วิกิพีเดีย

วังเชอนงโซ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ดูความหมายอื่นๆ ของการเลือกใช้คำเรียกได้ที่ การเรียกชื่อปราสาท, วัง หรือ คฤหาสน์
ลิงก์ข้ามภาษาที่แทรกในบทความนี้ ผู้เขียนอาจใส่ไว้เพื่อความสะดวกสำหรับผู้อ่านและผู้ร่วมปรับปรุงแก้ไขบทความ ให้โยงไปถึงบทความที่เกี่ยวข้องในภาษาอื่นเพื่อการตรวจสอบหรืออ่านเพิ่มเติม เนื่องจากคำ หรือวลีนั้นๆ ยังไม่มีคำแปลหรือคำอธิบายที่เหมาะสมในภาษาไทย เมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ลิงก์ข้ามภาษาจะถูกตัดออกหรือเปลี่ยนเป็นข้อความที่ไม่มีลิงก์แทน ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานวิกิพีเดียไทย
หอมาร์คมองจากตัววัง
หอมาร์คมองจากตัววัง

วังเชอนงโซ (ภาษาฝรั่งเศส: Château de Chenonceau) ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเชอนงโซในแคว้นซ็องตร์ บริเวณแอนดรา เอ ลัวร์ ในประเทศฝรั่งเศส วังเดิมสร้างบนโรงป่นแป้งเก่า[1]บนฝั่งแม่น้ำแชร์และสร้างมาก่อนหน้าที่จะมีหลักฐานทางเอกสารเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11 วังปัจจุบันออกแบบโดยฟิลแบรต์ เดอลอร์ม (Philibert Delorme) สถาปนิกเรอเนซองส์

เนื้อหา

[แก้] ประวัติ

ชาโตเชอนงโซมองจากสวนไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์
ชาโตเชอนงโซมองจากสวนไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์
ภาพเขียนของวัง
ภาพเขียนของวัง

ปราสาทเดิมถูกวางเพลิงเมื่อปีค.ศ. 1411 เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ฌอง มาร์คส์ (Jean Marques) ผู้เป็นเจ้าของใช้อำนาจในทางที่ผิด หลังจากนั้นเมื่อราวปีค.ศ. 1430 ฌอง มาร์คส์ก็สร้างปราสาทใหม่โดยมีการสร้างเสริมอย่างแข็งแรง ปีแอร์ มาร์ค (Pierre Marques) ผู้เป็นเจ้าของต่อมาไปทำหนึ้เป็นสินมากจนต้องขายปราสาทให้กับทอมัส โบเยร์ (Thomas Bohier) ผู้เป็นราชมนตรีของพระเจ้าชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. 1513 โบเยร์รื้อปราสาทเดิมทิ้งแล้วสร้างวังใหม่ระหว่างปี ค.ศ. 1515 ถึงปี ค.ศ. 1521 โดยให้แคทเธอริน บริโชเนท์ (Catherine Briçonnet) ผู้เป็นภรรยาเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง แคทเธอรินชอบจัดงานเลี้ยงสำหรับข้าราชสำนักรวมทั้งพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1[2] ถึงสองครั้ง

ต่อมาพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ก็ยึดวังจากลูกของโบเยร์ ผู้เป็นหนี้หลวงเป็นจำนวนมากมาย หลังจากพระเจ้าฟรองซัวส์สิ้นพระชนม์เมื่อปีค.ศ. 1547 พระเจ้าอองรีที่ 2ก็ยกเชอนงโซให้กับไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์[3] (Diane de Poitiers) ผู้เป็นพระสนมคนโปรด ไดแอนน์ติดใจเชอนงโซและชอบทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำแชร์มาก จนสั่งให้สร้างสะพานเชื่อมตัววังกับฝั่งตรงข้าม และสร้างสวนดอกไม้ สวนครัว และสวนผลไม้ขนาดใหญ่ สวนที่อยู่ริมแม่น้ำได้รับการป้องกันจากน้ำท่วมด้วยกำแพงหิน ตัวสวนเป็นรูปสามเหลี่ยมสี่อัน

ตามกฎหมายแล้วเชอนงโซเป็นของหลวง แต่ไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์ก็อยู่อย่างเป็นเจ้าของเต็มตัวมาจนถึงปี ค.ศ. 1555 เมื่อมีปัญหาว่าใครควรจะเป็นเจ้าของที่ถูกต้อง แต่ในที่สุดไดแอนน์ก็ได้เป็นเจ้าของถูกต้องตามกฎหมาย แต่เพียงสี่ปีต่อมาเมื่อพระเจ้าอองรีที่ 2 สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1559 พระราชินีแคทเธอรีน เดอ เมดิชิ[4] (Catherine de' Medici) พระชายาของพระเจ้าอองรีก็ขับไดแอนน์ออกจากเชอนงโซ แต่เพราะวังไม่ได้เป็นของหลวงแคทเธอรินจึงไม่ทรงสามารถยึดได้โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน จึงทรงบังคับให้ไดแอนน์แลกเชอนงโซกับวังชอมองท์[5] (Château Chaumont) หลังจากนั้นก็ทรงปรับปรุงเชอนงโซและสร้างสวนเพิ่มอีกหลายสวนจนกลายเป็นวังที่ทรงโปรดปรานมาก

ในฐานะที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแคทเธอริน เด เมดิชิสามารถใช้เงินจำนวนมากในการปรับปรุงและจัดงานหรูหราที่เชอนงโซได้ เมื่อปี ค.ศ. 1560 ก็ทรงจัดให้มีการแสดงดอกไม้ไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในฝรั่งเศสที่เชอนงโซ เพื่อเป็นการฉลองการขึ้นครองราชสมบัติของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 2 ผู้เป็นพระโอรสของพระองค์

หลังจากพระราชินีนาถแคทเธอรินสิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1589 วังก็ตกไปเป็นของลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์ (Louise de Lorraine-Vaudémont) พระชายาของพระเจ้าอองรีที่ 3 ผู้เป็นพระโอรสอีกองค์หนึ่งของพระราชินีนาถแคทเธอริน เมื่อพระราชินีลุยสได้รับข่าวการปลงพระชนม์ของพระสวามีก็ทรงโศกเศร้ามากจนไม่ทรงมีสติสัมปชัญญะและทรงใช้เวลาบั้นปลายของชีวิตอย่างเป็นแม่ม่ายเต็มตัว เที่ยวเดินเทียวไปเทียวมาในชุดแม่ม่ายภายในวังที่ตกแต่งด้วยพรมแขวนผนัง[6]ดำที่ปักเป็นหัวกระโหลกไขว้

พระสนมอีกคนหนึ่งที่ได้อยู่ที่วังนี้เมื่อปี ค.ศ. 1624 คือกาเบรียล เดสเตรส์ (Gabrielle d'Estrées) ในพระเจ้าอองรีที่ 4 หลังจากนั้นเชอนงโซก็ตกไปเป็นของผู้สืบสายมาจากพระราชินีลุยส--ดยุคเซซาร์ เดอ บูร์บง, ดยุคแห่งวองโดม (César de Bourbon, duc de Vendôme) และภรรยาดัชเชสฟรองซัวส เดอ ลอเรน (Françoise de Lorraine) และผ่านต่อมาทางสายวาลัวส์ (Valois) หลังจากนั้นวังก็มีผู้พำนักไม่พำนักบ้างมากว่าร้อยปี

เมื่อปี ค.ศ. 1720 ดยุคแห่งบูร์บงก็ซื้อวังเชอนงโซ แล้วค่อยๆ ขายสมบัติภายในวังไปทีละน้อย รูปปั้นหลายรูปก็ตกไปเป็นของพระราชวังแวร์ซาย ในที่สุดวังเชอนงโซก็ถูกขายให้กับโคลด ดูแปง (Claude Dupin)

มาดามลุยส ดูแปง ภรรยาของโคลด ดูแปงเป็นลูกสาวของซามูเอล แบนาร์ด (Samuel Bernard) นักลงทุน และเป็นย่าของนักประพันธ์จอร์จ ซองด์ (George Sand) เป็นผู้ทำให้เชอนงโซกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหนี่งโดยการจัดงานเลี้ยงสำหรับผู้นำในยุคภูมิปัญญาเช่น วอลแตร์ มองเตสกิเออ (Montesquieu) จอร์จ หลุยส์ เลอแคล (Georges-Louis Leclerc) เบอร์นาร์ด เลอ โบวิเย เดอ ฟองทเนล (Bernard le Bovier de Fontenelle) ปิแอร์ เดอ มาริโว (Pierre de Marivaux) และ ชอง-ชาก รุสโซ มาดามลุยส์ปกป้องเชอนงโซจากการถูกทำลายระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส เพราะเชอนงโซเป็นจุดเดียวสำหรับข้ามแม่น้ำแชร์ในบริเวณนั้นจึงมีประโยชน์ต่อการเดินทางและการค้าขาย

นอกจากนั้นก็ยังกล่าวกันว่ามาดามลุยสเป็นผู้เปลี่ยนการสะกดคำว่า “Chenonceaux” เป็น “Chenonceau” เพื่อเอาใจชาวบ้านระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส เพราะ “x” เป็นสัญลักษณ์ของฐานันดร เมื่อเอาอักษร “x” ออกก็เป็นการแสดงความจงรักต่อระบบการปกครองใหม่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่การสะกด “Chenonceau” โดยไม่มี “x” ก็ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้

เมื่อปี ค.ศ. 1864 แดเนียล วิลสัน (Daniel Wilson) ชาวสกอตแลนด์ผู้ร่ำรวยจากการติดตั้งตะเกียงแก๊สทั่วปารีสซื้อวังนี้ให้ลูกสาว ผู้ใช้เงินจำนวนมากจัดงานเลี้ยงจนกระทั่งหมดตัว ในที่สุดวังถูกยึดและขายให้โฮเซ อิมิลิโอ เทอรี (José-Emilio Terry) มหาเศรษฐีชาวคิวบา เมื่อปีค.ศ. 1891 เทอรีขายเชอนงโซต่อให้กับฟรานซิสโก เทอรีผู้เป็นญาติ และเมื่อปีค.ศ. 1896 ในที่สุดตระกูลเมเนียร์ (Menier) ที่มีชื่อเสียงจากการทำช็อกโกแลตก็ซื้อเชอนงโซเมื่อปีค.ศ. 1913 และเป็นเจ้าของมาจนถึงปัจจุบันนี้

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งตัววังก็ใช้เป็นโรงพยาบาล และระหว่าง สงครามโลกครั้งที่สองเชอนงโซใช้เป็นที่หนีจากบริเวณที่ยึดครองโดยนาซี ไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำแชร์ที่เป็นวิชีฝรั่งเศสที่เป็นอิสระจากส่วนที่ยึดครองโดยเยอรมนี

เมื่อปี ค.ศ. 1951ตระกูลเมเนียร์มอบให้เบอร์นาร์ด โวแซง (Bernard Voisin) เป็นผู้บูรณะเชอนงโซซึ่งอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมมากและสวนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำท่วมเมื่อปี ค.ศ. 1940 ให้คืนสู่สภาพที่สวยงามตามที่เคยเป็นมา

ลักษณะของสถาปัตยกรรมของเชอนงโซ เป็นแบบผสมระหว่างสถาปัตยกรรมกอธิคและสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ตอนต้น ในปัจจุบันวังเปิดให้คนเข้าชมและเป็นวังที่มีผู้เข้าชมเป็นอันดับสองรองจากพระราชวังแวร์ซาย

[แก้] ภายใน

[แก้] ลานด้านหน้าและหอมาร์ค

ทางเข้า
ทางเข้า

เมื่อทอมัส โบเยร์สร้างเชอนงโซใหม่เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็ได้รื้อส่วนที่อยู่อาศัยเดิมและโรงบดแป้งของตระกูลมาร์คออกหมดยกเว้นหอเก่า และสร้างวังใหม่บนตอม่อของโรงบดแป้งเก่า หอเก่าหรือหอมาร์ค (Marques Tower) มาต่อเติมเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเรอเนซองส์ ลานหน้าวางแบบลานปราสาทยุคกลางล้อมรอบด้วยคู ใกล้ๆหอมาร์คมีบ่อที่แต่งด้วย ไคเมร่าและเหยี่ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลมาร์ค

ประตูทางเข้าขนาดใหญ่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ทำจากไม้แกะสลัก ทางด้านซ้ายเป็นตราประจำตัวของทอมัส โบเยร์ ทางขวาเป็นของแคทเธอริน บริโชเนท์ ผู้เป็นภรรยา เหนือตราเป็นตัวซาลาแมนเดอร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1[7] และคำสลัก “François, by the grace of God, King of France and Claude, Queen of the French” (ฟรองซัวส์, โดยพรจากพระเป็นเจ้า, พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส และ โคลด, พระราชินีฝรั่งเศส)

[แก้] ห้องยาม

เดิมเป็นห้องที่ยามใช้พักเมื่อออกเวร บนเตาผิงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ตกแต่งด้วยตราประจำตัวของทอมัส โบเยร์ และบนประตูไม้โอคคริสต์ศตวรรษที่ 16 ภายใต้นักบุญผู้พิทักษ์—นักบุญแคทเธอริน และนักบุญทอมัส--เป็นคำขวัญของทอมัส โบเยร์และแคทเธอริน บริโชเนท์ “S'il vient à point, me souviendra” ซึ่งแปลว่า “ถ้าสามารถสร้างวังได้ก็จะมีคนระลึกถึง”

บนกำแพงมีพรมแขวนผนังแบบเฟลมมิชจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นฉากชีวิตของการอยู่ในปราสาท การขอแต่งงาน และการล่าสัตว์ หีบ[8]เป็นแบบกอธิค และเรอเนซองส์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ใช้เป็นที่เก็บเครื่องเงิน, เครื่องครัว และพรมแขวนผนัง หีบเป็นสิ่งทางราชสำนักใช้ขนย้ายสิ่งของเมื่อย้ายที่อยู่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง

เพดานเป็นอักษร “H” ไขว้กับ “C” ซึ่งเป็นอักษรย่อของแคทเธอริน เดอ เมดิชิ และ พระเจ้าอองรีที่ 2 แต่เพราะความรักที่พระเจ้าอองรีมีต่อไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์พระองค์ก็ให้ทำอักษรให้ดูเหมือน “D” และ “H” พื้นเป็นกระเบื้องจากอิตาลีที่เรียกว่า “majolica” ที่สร้างเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16

[แก้] ชาเปล

หน้าต่างประดับกระจกสีภายในชาเปล
หน้าต่างประดับกระจกสีภายในชาเปล
ห้องนอนของไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์
ห้องนอนของไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์
หน้าต่างประดับกระจกสีภายในชาเปล
หน้าต่างประดับกระจกสีภายในชาเปล

จากห้องพักทหารยามเป็นทางเข้าสู่ชาเปลซึ่งมีประตูที่มีรูปปั้นพระแม่มารีอยู่เหนือประตู บนบานประตูเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซูและนักบุญทอมัสสาวก และมีประโยคจากพระวรสารนักบุญจอห์นว่า “เอานิ้วจิ้มตรงนี้” (“Lay your finger here”) และ “ท่านคือลอร์ดและพระเจ้าของข้า” (“You are my Lord and my God”) จาก ยน 20:27

หน้าต่างประดับกระจกสีเดิมของชาเปลได้ถูกระเบิดทำลายระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2เมื่อปี ค.ศ. 1944 หน้าต่างสมัยใหม่ที่สร้างแทนทำโดยแม็กซ์ อินกรองด์ (Max Ingrand) ผู้เชี่ยวชาญทางการประดับกระจกสีเมื่อปี ค.ศ. 1954 ในซุ้มทางด้านขวามีรูปแกะพระแม่มารีและพระบุตรจากหินอ่อนที่มาจากคาร์ราราในประเทศอิตาลี โดยมิโน ดา ฟิเอโซโล (Mino da Fiesole) ทางเดินกลางของชาเปลเป็นที่ที่พระราชินีเข้าร่วมพิธีมิสซาซึ่งสลักปี ค.ศ. 1521 ไว้

ทางด้านขวาของแท่นบูชาเป็นโต๊ะพิธีที่แกะสลักอย่างสวยงามพร้อมกับคำขวัญของทอมัส โบเยร์ บนกำแพงมีคำจารึกโดยทหารรักษาพระองค์ของ พระราชินีแมรีสจ๊วต ทางด้านขวา “Man's anger does not accomplish God's Justice” จารึกเมื่อปี ค.ศ. 1543 และ “Do not let yourself be won over by Evil” จารึกเมื่อปี ค.ศ. 1546 ภาพเขียน:

  • “พระแม่มารีกับผ้าคลุมสีฟ้า” (The Virgin in a blue veil) โดยจิโอวานนี บัททิสตา ซาลวิ ดา ซัสโซเฟอร์ราโต (Giovanni Battista Salvi da Sassoferrato)
  • “พระเยซูเทศนาพระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระราชินีอิสซาเบลลา” (Jesus preaching before Ferdinand and Isabella) โดยอลอนโซ คาโน (Alonso Cano)
  • “นักบุญแอนโทนีแห่งปาดัว” (Saint Anthony of Padua) โดย บาโทโลเม เอสเตบาน มูริลโล
  • อัสสัมชัญ” โดยฌอง จูเวเนท์ (Jean Jouvenet)

มาดามดูแปงช่วยให้ชาเปลรอดมาจากถูกทำลายระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสโดยใช้ชาเปลเป็นที่เก็บไม้ฟืน

[แก้] ห้องนอนของไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์

ห้องที่ใช้โดยไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์ผู้เป็นพระสนมเอกของพระเจ้าอองรีที่ 2 มีเตาผิงโดยฌอง กูจอง (Jean Goujon) ผู้เป็นประติมากรตระกูลฟองเทนโบล บนเตาผิงมีอักษรไขว้ของพระเจ้าอองรีที่ 2 และแค็ทเธอริน เด เมดิชิ เป็นตัว “H” และ “C” ซึ่งเมื่อดูแล้วก็คล้ายตัว “H” ไขว้กับ “D”[9] สำหรับ “Diane” เพดานเป็นแบบ coffer[10] ก็มีอักษรไขว้เช่นกัน เหนือเตาผิงเป็นภาพ แค็ทเธอริน เด เมดิชิ ที่เขียนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยโซวาจ (Sauvage)

เตียงสี่เสา[11]สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเก้าอี้ของพระเจ้าอองรีที่ 2 หุ้มด้วยหนัง cordovan นอกจากนั้นก็ยังมีพรมทอแขวนผนังจากฟลานเดิร์สสองผืนใหญ่จากคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพ:

  • “ชัยชนะของความแข็งแกร่ง” (The triumph of Strength) ทรงรถม้าลากด้วยสิงห์โตสองตัวล้อมรอบไปด้วยฉากจากพันธสัญญาเดิม ขอบบนเป็นคำจารึกภาษาละติน ซึ่งแปลว่า “ผู้ซึ่งพอใจในของขวัญจากสวรรค์จะไม่ถอยจากการทำความดีที่เรียกร้อง”
  • “ชัยชนะของความเผื่อแผ่” (The triumph of Charity) ทรงรถม้า ในมือหนึ่งถือหัวใจอีกมือหนึ่งชี้ไปยังพระอาทิตย์ มีคำจารึกภาษาละติน ซึ่งแปลว่า “ผู้ซึ่งแสดงความแข็งแกร่งเมื่อเผชิญอันตรายจะได้รับการให้อภัยเป็นรางวัลเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง”

ทางซ้ายของห้องนอนเป็นหน้าต่าง “พระแม่มารีและพระบุตร” โดย บาโทโลเม เอสเตบาน มูริลโล ทางด้านขวาของเตาผิงมีภาพเขียนแบบอิตาลีจากคริสต์ศตวรรษที่ 18 “พระเยซูถูกสั่งให้ถอดพระภูษา” โดยฟรานซิสโก ริบาลตา (Francisco Ribalta) ภายใต้ภาพเขียนเป็นชั้นหนังสือที่มีเอกสารเกี่ยวกับเชอนงโซ เล่มหนึ่งมีลายเซ็นของทอมัส โบเยร์ และ ไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์

[แก้] ห้องเขียว

เมื่อพระราชินีแคทเธอริน เด เมดิชิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระเจ้าชาร์ลที่ 9 พระราชโอรสเมื่อยังทรงพระเยาว์เมื่อปี ค.ศ. 1560 ทรงปกครองฝรั่งเศสจากห้องทรงพระอักษรในวังเชอนงโซห้องนี้ บนเพดานคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งยังเป็นเพดานเดิมยังพอมองเห็นอักษรไขว้ “C” และตู้อิตาลีจากคริสต์ศตวรรษเดียวกัน 2 ตู้สองข้างประตู

งานชิ้นที่เด่นที่สุดในห้องคืองานพรมทอแขวนผนังของบรัสเซลส์จากคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่เรียกว่า “To the birthwort” เป็นลักษณะศิลปะแบบกอธิค และ เรอเนซองส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการพบทวีปอเมริกาและพฤกษชาติที่พบที่นั่น ในภาพทอจะมีไก่ฟ้าเปรู, สับปะรด, กล้วยไม้, ทับทิม, สัตว์ และพืชพันธ์ไม้หลากหลายที่จนบัดนั้นก็ยังไม่เป็นที่รู้จักหรือเห็นกันในทวีปยุโรป แต่สีเดิมของพรมที่เป็นสีเขียวปัจจุบันเป็นสีน้ำเงินตามกาลเวลา

บนผนังแขวนภาพไว้หลายภาพแต่ที่สำคัญๆ คือ

  • “พระราชินีแห่งชีบา” (The Queen of Sheba) และ ภาพเหมือนของ Doge โดย ทินโทเรตโต
  • “Ivory Catchfly” โดย จาค็อป จอร์แดงส์ (Jacob Jordaens)
  • “แซมซันและสิงห์โต” (Samson and the Lion) โดย เฮ็นดริค โกลทเซียส (Hendrik Goltzius)
  • “พระเยซูไล่พ่อค้าออกจากวัด” (Jesus chasing the merchants from the Temple) โดยฌอง จูเวเนท์ (Jean Jouvenet)
  • “x” (Allegorical Scene) บนโลหะ โดย บาร์โทโลเมียส สแปรงเกอร์ (Bartholomeus Spranger)
  • “ศึกษาศีรษะสตรี” (Study of a woman's head) โดย เปาโล เวอโรเนเซ (Paolo Veronese)
  • “หนีไปอียิปต์” (The flight to Egypt) โดย นิโคลัส พูแซ็ง (Nicolas Poussin)
  • “เด็กกับผลไม้” (Child with Fruits) โดย แอนโทนี แวน ไดค์

[แก้] ห้องสมุด

ห้องรับรอง
ห้องรับรอง
เตาในครัว
เตาในครัว
ห้องนอนพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1
ห้องนอนพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1
ห้องนั่งเล่นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ห้องนั่งเล่นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
บันได
บันได

ห้องนี้เป็นห้องเล็กๆ ที่ใช้โดยพระราชินีแคทเธอริน เดอ เมดิชิ มีทิวทัศน์แม่น้ำแชร์และสวนของไดแอนน์ เพดานแบบ coffer แบบอิตาลีทำจากไม้โอคเมื่อปีค.ศ. 1525 ซึ่งมีที่ห้อยกุญแจเล็กๆ เป็นงานแบบนี้ชิ้นแรกที่ทำในฝรั่งเศส และมีอักษรย่อ “T.B.K.” ของผู้สร้างวัง ทอมัส โบเยร์ และ แคทเธอริน บริโชเนท์ เหนือประตูเป็นภาพเขียน “ครอบครัวพระเยซู” โดย อันเดรีย เดล ซาร์โต อันเดรอา เดล ซาร์โต ภาพเขียนอื่นๆ ก็มี

  • “ฉากจากชีวิตของนักบุญเบ็นเนดิค” (Scenes from the life of Saint Benedict) โดย จาโคโป บาสสาโน (Jacopo Bassano)
  • “ผู้พลีชีพ” (A Martyr) โดย อันโทนิโอ ดา คอร์เรจจิโอ
  • “ครอบครัวพระเยซู” โดย ฌอง จูเวเนท์ (Jean Jouvenet)
  • ภาพเขียนในกรอบกลม[12] “Hébé and Ganymède, the cupbearers of the Gods, relieved near Olympia” เขียนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 แบบฝรั่งเศส

[แก้] ห้องรับรอง

จากห้องนอนของไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์เป็นทางแคบไปสู่แกลเลอรี เมื่อปี ค.ศ. 1576 พระราชินีแคทเธอริน เด เมดิชิสร้างห้องรับรองใหญ่เป็นโถงยาวเบนสะพานข้ามแม่น้ำแชร์ของไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์ ตามผังของฟิลิแบรต์ เดอ ลอร์เม (Philibert de l'Orme) ห้องยาว 60 เมตรและกว้าง 6 เมตร มีหน้าต่าง 18 บาน พึ้นเป็นหินชอล์คและหินชนวน เพดานแสดงโครง ห้องนี้เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1577 ในงานที่แคทเธอริน เด เมดิชิทรงเป็นจัดสำหรับพระเจ้าอองรีที่ 3

ทางด้านยาวทั้งสองของห้องเป็นเตาผิงแบบเรอเนซองส์ซึ่งทางด้านใต้อยู่ใกล้ประตูที่ออกไปทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำแชร์ ภาพเขียนในกรอบกลมมาเพิ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นภาพคนสำคัญๆ

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 แกสตอง เมเนียร์ (Gaston Menier) เจ้าของวังแปลงห้องทุกห้องในวังเป็นโรงพยาบาลด้วยเงินส่วนตัว ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2ห้องรับรองใช้เป็นทางเดินข้ามจากบริเวณที่ถูกยึดครองโดยเยอรมนีไปอึกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแชร์ที่มิได้ถูกยึดครอง

[แก้] ห้องโถง

ห้องโถงตกแต่งด้วยเพดานโค้งสันที่มีหินหลักแยกจากกันเป็นเส้นขาด ตระกร้าตกแต่งด้วยใบไม้ ดอกกุหลาบ ยุวเทพ (cherubs) ปนาลี และ สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ห้องนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1515 ถือว่าเป็นห้องที่แกะสลักที่สวยที่สุดห้องหนึ่งในการตกแต่งแบบเรอเนซองส์แบบฝรั่งเศส

ตรงทางเข้าเหนือประตูมีฐานที่เว้าเข้าไปที่เป็นที่ตั้งรูปปั้นนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ผู้เป็นนักบุญผู้พิทักษ์วังเชอนงโซ และ Masdone อิตาเลียนแบบลูคา เดลลา รอบเบีย (Luca della Robbia) โต๊ะหินอ่อนเป็นแบบเรอเนซองส์ เหนือประตูทางเข้า เป็นหน้าต่างประดับกระจกสีทึ่สร้างเมื่อ ปี ค.ศ. 1954 โดยแม็กซ์ อินกรองด์ (Max Ingrand) เป็นตำนานของนักบุญอูแบรต์

[แก้] ครัว

ครัวของวังเชอนงโซตั้งอยู่ชั้นล่างสุดซึ่งมีฐานอยู่บนแม่น้ำแชร์ใกล้ครัวมีที่จอดเรือส่งของ ตามตำนานว่ากันว่าเป็นที่ที่ไดแอนน์อาบน้ำ ที่เก็บอาหารอยู่ต่ำกว่าครัวภายใต้หลังคาโค้ง เตาผิงในครัวสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งตั้งอยู่ข้างเตาอบขนมปังเป็นเตาผิงที่ใหญ่ที่สุดในวังเชอนงโซ สาเหตุที่เตาผิงในครัวมีขนาดใหญ่เพราะในสมัยโบราณก่อนที่จะมีเตาที่เห็นในรูปการทำอาหารทุกอย่างทำที่เตาผิง นอกจากครัวแล้วก็มี ห้องเก็บเนื้อสัตว์ซึ่งยังมีขอแขวนเนื้อและเขียงใหญ่สำหรับสับและตัดเนี้อ และห้องเก็บอาหารอื่นๆ

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ครัวก็ถูกปรับปรุงโดยติดตั้งอุปกรณ์เครื่องครัวที่ทันสมัยเพื่อให้เหมาะกับการเป็นโรงพยาบาล

[แก้] ห้องนอนพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1

ในห้องนี้มีเตาผิงแบบเรอเนซองส์บนแท่นเหนือเตาผิงเป็นคำขวัญของทอมัส โบเยร์ “S'il vient à point, me souviendra” ซึ่งแปลว่า “ถ้าสร้างวังได้ก็จะมีคนระลึกถึง” เหนือประตูเป็นตราของโบเยร์ เครื่องตกแต่งก็มีโต๊ะแบบฝรั่งเศส สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ ตู้แบบอิตาลีที่สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สิ่งที่น่าสนใจคือปากกาหมึกซึมงาช้างฝังมุกซึ่งเป็นของขวัญแต่งงานที่แมรีสจ๊วตมอบให้พระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 2

บนผนังแขวนภาพไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์ ในภาพเทพีไดแอนนาแห่งการล่าสัตว์ โดย ฟรานเชสโก พริมาทิชชิโอ (Francesco Primaticcio) จิตรกรตระกูลฟองเทนโบล พริมาทิชชิโอวาดภาพที่วังเชอนงโซเมื่อ ปี ค.ศ. 1556 บนกรอบเป็นตราของไดแอนน์ดัชเชสแห่งเอทอมพส์

ทั้งสองด้านเป็นภาพเขียนโดย มิเรเวลท์ (Mirevelt) เรเวนสไตน์ (Ravenstein) และภาพเหมือนของแอนโทนี แวน ไดค์ ถัดไปเป็นภาพวาดใหญ่ของกาเบรียล เดสเตรส์แต่งตัวเป็นไดแอนนาเทพีแห่งการล่าสัตว์โดยอัมบรัวส์ ดูบัวส์ (Ambroise Dubois) ที่หน้าต่างเป็นภาพอาร์คิมิดีส ฟรานซิสโก เซอบาราน และรูป “บาทหลวงสองคน” แบบเยอรมนีจากคริสต์ศตวรรษที่ 17 ด้านขวาของเตาผิงเป็นภาพ “The Three Graces”[13] โดย ฌอง แบ็พทิสต์ แวน ลู (Jean-Baptiste van Loo) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสามสาวพี่น้องจากเนสเล มาดามแห่งชาโตรู มาดามแวนทิมีล และมาดามเมอีผู้เป็นคนโปรดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15

[แก้] ห้องพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1650 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14เสด็จมาเยี่ยมวังเชอนงโซ หลังจากนั้นทรงมอบภาพเหมือนโดยอิยาซินธ์ ริโกด์[14] (Hyacinthe Rigaud) ให้แก่ดยุคเซซาร์ เดอ แวงดมผู้เป็นลุงซึ่งมีกรอบที่ทำอย่างสวยงามทำด้วยไม้สี่ชิ้นโดยเลโพเทรอ (Lepautre) พร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ที่บุด้วยพรมทอจากโอบูซองและตู้แบบบูล (Boulle) เพื่อเป็นที่ระลึกในการทรงมาเยี่ยม

เหนือเตาผิงเป็นตราซาลาแมนเดอร์และตัวสโตท (Stoat สัตว์คล้ายหนู) ซึ่งคล้ายกับตราซาลาแมนเดอร์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 และพระราชินีโคลด เพดานเป็นแบบที่แสดงคาน บนบัวคอร์นิชมีอักษรย่อ “T.B.K.” ของครอบครัวโบเยร์ เหนือตู้เป็นภาพ “พระบุตรและนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์” โดยปีเตอร์ พอล รูเบนส์ซึ่งโจเซฟ โบนาปาร์ต น้องชายของ[จักรพรรดินโปเลียนที่ 1]]ซื้อมาจากพระเจ้าแผ่นดินสเปนเมื่อ ปี ค.ศ. 1889

ภายในห้องนี้มีภาพเขียนแบบฝรั่งเศสของคริสต์ศตวรรษที่ 18:

  • ภาพเหมือนพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ฌอง แบ็พทิสต์ แวน ลู
  • “เจ้าหญิงแห่งโรฮัน” (Princess of Rohan) โดย นาติเย (Nattier)
  • “ภาพเหมือนของชามิลลาร์ด ราชมนตรีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14” และ “ภาพเหมือนของผู้ชาย” โดย เนท์แชร์
  • “ภาพเหมือนพระเจ้าฟิลลิปที่ 5 แห่งสเปน” โดยรองซ์ (Ranc)
  • “ภาพเหมือนแซมมูเอล เบอร์นาร์ด” นายธนาคารของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14โดยมืยาร์ด .

[แก้] บันได

บันไดสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สลักเป็นใบไม้เป็นสัญลักษณ์ของกฎหมายเก่า (ภายใต้สตรีที่มีผ้าผูกตากับหนังสือและไม้เท้านักแสวงบุญ) และกฎหมายใหม่ (สตรีไม่มีผ้าผูกตาถือใบปาล์มและถ้วยศักดิ์สิทธิ์)

บันไดนี้น่าสนใจตรงที่เป็นบันไดแรกที่เป็นบันไดตรงแทนที่จะเวียนตามแบบจากอิตาลีเหนือบันไดเป็นเพดานโค้งสัน ส่วนตัดกันตัดฉากตกแต่งด้วยหินปุ่ม ในช่วงระหว่างสันตกแต่งด้วยคน, ผลไม้, และดอกไม้ แต่ถูกทำลายไปบ้างระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส ราวบันไดสองข้างมาพบกันที่ลานบันไดที่เป็นซุ้มโค้ง บนผนังชั้นสองของบันไดตกแต่งรูปในกรอบกลมของสตรีปล่อยผมสลวย จากบันไดไปเป็นทิวทัศน์แม่น้ำแชร์

[แก้] โถงแคทเธอริน บริโชเนท์

ชั้นล่างปูด้วยดินเผาประทับตราฟลูเดอลีส์[15] (fleur de lis) ไขว้กริช เพดานแบบเปิดคาน

เหนีอประตูเป็นภาพเขียนในกรอบกลมซึ่งนำมาจากอิตาลีโดยพระราชินีแคทเธอริน เด เมดิชิเป็นรูปจักรพรรดิโรมัน: กาลบา, คลอเดียส, เจอร์มันนิคัส, วิเทลเลียส, และ เนโร นอกจากนั้นก็ยังมีพรมทอแบบแขวนผนังเป็นรูปการล่าสัตว์ทอจากรูปที่ร่างโดยแวน เดอร์ มูเล็ง (Antony Francis van der Meulen)

[แก้] ห้องนอนห้าราชินี

ห้องนอนห้าราชินี
ห้องนอนห้าราชินี
ห้องนอนแคทเธอริน เด เมดิชิ
ห้องนอนแคทเธอริน เด เมดิชิ

ห้องนี้ตั้งชื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระธิดาสององค์และพระธิดาสะไภ้สามองค์ของพระราชินีแคทเธอริน เด เมดิชิ:

  • พระราชินีมาร์โกท์ (Marguerite de Valois) พระชายาของพระเจ้าอองรีที่ 4
  • พระราชินีเอลิซาเบธแห่งวาลัวร์ (Elisabeth of Valois) พระชายาของพระเจ้าฟิลลิปที่ 2 แห่งสเปน
  • พระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ พระชายาของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 2
  • พระราชินีเอลิซาเบธแห่งออสเตรีย (Elisabeth of Valois) พระชายาของพระเจ้าชาร์ลที่ 9
  • พระราชินีลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์ พระชายาของพระเจ้าอองรีที่ 3

บนเพดานคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นตราประจำพระองค์ของพระราชินีทั้งห้า เตาผิงสร้างสมัยเรอเนซองส์ บนผนังแขวนพรมทอเป็นฉากการยึดเมืองทรอยและการลักตัวเฮเล็นแห่งทรอย, การแสดงการต่อสู้ที่โคลีเซียม, การสวมมงกุฏของพระเจ้าเดวิด และฉากจากชีวิตของแซมซัน เฟอร์นิเจอร์เป็นเตียงสี่เสา โต๊ะแบบกอธิคสองตัวบนโต๊ะมีรูปปั้นหัวผู้หญิงสองหัว และหีบฝังสิ่งตกแต่ง

ภาพเขียน

  • “Worshipping the Wise Men” โดย ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ เป็นภาพร่างของภาพใหญ่ที่พิพิทธภัณฑ์ปราโด
  • “ภาพเหมือนดัชเชสแห่งโอลอน” (Portrait of the Duchess of Olonne) โดย มิยาร์ด (Mignard)
  • อพอลโลที่บ้านของแอดมีทแห่งอาร์โกนอท” (Apollo at the home of Admete the Argonaut) แบบอิตาลี คริสต์ศตวรรษที่ 17

[แก้] ห้องนอนแคทเธอริน เด เมดิชิ

ห้องนอนนี้ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แกะสลักจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 และพรมทอเฟล็มมิชจากคริสต์ศตวรรษเดียวกันเป็นรูปชีวิตของแซมซัน นอกจากนั้นก็ตกแต่งสัตว์จากตำนานและสุภาษิตเช่นจากเรื่อง “ความชำนาญดีกว่าความฉลาดแกมโกง” เตาผิงและพื้นสร้างสมัยเรอเนซองส์ ทางขวาของเตียงมีภาพ “สอนเรี่องรัก” (The teaching of Love) โดยอันโทนิโอ ดา คอร์เรจจิโอ วาดบนไม้ซึ่งภาพเดียวกันที่วาดบนผ้าใบอยู่ที่พิพิทธภัณฑ์แห่งชาติกรุงลอนดอน


[แก้] ห้องนอนเซซาร์แห่งวองโดม

ห้องนอนนี้ทำให้ระลึกถึงเซซาร์ เดอ วองโดม[16] (Cesar Vendôme) พระโอรสของพระเจ้าอองรีที่ 4 กับกาเบรียล เดสเตรส์ผู้กลายมาเป็นเจ้าของวังเชอนงโซเมื่อปี ค.ศ. 1624 สิ่งที่น่าสนใจในห้องนี้ก็มี

  • เพดานแบบเปิดคานตกแต่งด้วยบัวคอร์นิชเป็นปืนใหญ่
  • เตาผิงสมัยเรอเนซองส์ทางตะวันตกจากทาสีเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีตราประจำตัวของทอมัส โบเยร์ แบกด้วยรูปผู้หญิงเทินเสา[17] (caryatids) แกะจากไม้
  • หน้าต่างทางตะวันตกมีกรอบเป็นผู้หญิงเทินเสาแกะจากไม้จากคริสต์ศตวรรษที่ 17
  • บนผนังมีพรมทอบรัสเซลล์จากคริสต์ศตวรรษที่ 17 สามผืนเป็นตำนานของเทพีดีมีเทอร์ (Demeter) และ เทพีเพอร์เซ็พโฟนี (Persephone)
  • การเดินทางของดีมีเทอร์ และ เพอร์เซ็พโฟนีไปนรก ให้ผลไม้แก่มวลมนุษย์ และเพอร์เซ็พโฟนีกลับมาใช้ชีวิตบนโลกหกเดือนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนฤดูกาล
  • ขอบพรมทำอย่างงดงามตามแบบพรมบรัสเซลล์ตกแต่งด้วยช่อผลไม้ ดอกไม้ออกมาจากตระกร้ากรวย[18] (cornucopia)
  • เตียงสี่เสาและเฟอร์นิเจอร์ในห้องนี้ทำในคริสต์ศตวรรษที่ 16
  • ทางด้านซ้ายของหน้าต่างเป็นภาพเขียน “ภาพเหมือนนักบุญโจเซฟ” โดย บาโทโลเม เอสเตบาน มูริลโล

[แก้] ห้องนอนกาเบรียล เดสเตรส์

ห้องนอนลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์
ห้องนอนลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์
ผนังห้องนอนลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์
ผนังห้องนอนลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์

ห้องนี้เป็นห้องของกาเบรียล เดสเตรส์พระสนมคนโปรดในพระเจ้าอองรีที่ 4 ผู้เป็นพระมารดาของเซซาร์แห่งวองโดมพระโอรสนอกสมรสของพระเจ้าอองรี เป็นเพดานแบบเปิดคาน พื้น เตาผิงและเฟอร์นิเจอร์เป็นสมัยเรอเนซองส์ ใกล้เตียงสี่เสาแขวนพรมทอเฟลมมิชจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 ผนังอีกสามด้านมีพรมแขวนเช่นกัน ร่างโดยลูคาส แวน เลย์เด็น (Lucas van Leyden) เป็นพรมชุดที่หายากเรียกันว่าชุด “The Lucas months” ซึ่งประกอบด้วย

เหนือตู้เป็นภาพเขียนแบบฟลอเรนซ์จากคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นรูปนักบุญซิซิเลียซึ่งเป็นนักบุญผู้พิทักษ์นักดนตรี เหนือประตูเป็นภาพเขียน “Child to the Lamb” โดยฟรานซิสโก ริบาลตา

[แก้] โถงชั้นสอง

ห้องนี้มิได้ถูกซ่อมแซมโดยสถาปนิกโรเคท์ (Roguet) ผู้เป็นลูกศิษย์ของ เออแชน วีโยเล-เลอ-ดุก (Eugène Viollet-le-Duc) ในห้องนี้มีพรมทอนุย (Neuilly) จากคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำแชร์ซึ่งมีเรือกอนโดลาลอยอยู่ เรือนึ้นำมาจากเวนิสพร้อมกับผู้พายเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมาดามเพลูซ (Madame Pelouze) เจ้าของวังในขณะนั้น โต๊ะและพื้นหินเป็นแบบสมัยเรอเนซองส์

[แก้] ห้องนอนลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์

หลังจากที่ได้รับข่าวการปลงพระชนม์ของพระเจ้าอองรีที่ 3 พระสวามีโดยพระเคลมองท์ (Jacques Clément) เมี่อวันที่ 1 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1589 พระราชินีลุยส เดอ ลอเรน-โวเดมองท์ก็ทรงย้ายมาดำรงชีวิตอยู่ที่เชอนงโซเพื่อสวดมนต์ต์ต์ต์และวิปัสนา ทรงล้อมรอบด้วยชีจนวังเป็นเหมือนสำนักชี และมักทรงเสื้อขาวซึ่งเป็นสีไว้ทุกข์หลวง จึงเป็นที่รู้จักกันว่า “พระราชินีขาว” ห้องนอนสร้างใหม่แต่เพดานเป็นของเดิม ตกแต่งด้วยสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์เช่น น้ำตาเงิน, widows' cordons, มงกุฏหนาม, และอักษรกรีก “l” - “lambda” สำหรับ “Louise” ซึ่งเป็นอักษรย่อของพระองค์เองไขว้กับ “H” สำหรับ “Henri III”

ภายในห้องมีภาพเขียนพระเยซูสวมมงกุฏหนามภาพเขียนบนไม้จากคริสต์ศตวรรษที่ 16 อยู่บนเตาผิง เฟอร์นิเจอร์จากคริสต์ศตวรรษเดียวกัน

[แก้] สวน

สวนพระราชินีแคทเธอริน เด เมดิชิ
สวนพระราชินีแคทเธอริน เด เมดิชิ

วังเชอนงโซล้อมรอบไปด้วยสวน ทางด้านขวาเป็นสวนไดแอนน์ เดอ ปอยเตียร์ ซึ่งทางเข้าเป็นบ้านผู้ดูแล “ลาแชนเซลเลอรี” (La Chancellerie) สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 กลางสวนมีน้ำพุซึ่ง (Jacques Androuet du Cerceau) กล่าวถึงในหนังสือชื่อ “สิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส” (Les plus Excellents Bâtiments de France) ค.ศ. 1576 สวนกันจากน้ำท่วมจากแม่น้ำแชร์โดยเทอเรสซึ่งทำให้เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำจากวัง

ทางด้านซ้ายเป็นสวนพระราชินีแคทเธอริน เดอ เมดิชิ ซึ่งมีสระกลางสวน จากสวนจะเห็นฟาซาดด้านตะวันตกของวัง

ทางสวนปลูกต้นไม้ตกแต่ง 130,000 ต้นทุกครั้งที่เปลี่ยนสวนจากฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูร้อน นอกจากนั้นก็มีโรงม้า และฟาร์มตัวหม่อนซึ่งนำเข้ามาในฝรั่งเศสโดยแคทเธอริน เดอ เมดิชิ และฟาร์ม และ ปาร์คที่มีเนื้อที่ทั้งหมด 70 เฮ็คตาร์

ถนนใหญ่รายด้วยต้นเพลน ด้านหนึ่งเป็นสวนเขาวงกต[19] ตัดแต่งจากพุ่มต้นยู (yew) สองพันพุ่มตามแบบอิตาลีจากคริสต์ศตวรรษที่ 18

[แก้] ข้อมูลเพิ่มเติม

[แก้] สมุดภาพ

Commons:Category
คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับ:
วังเชอนงโซ

พิกัดภูมิศาสตร์: 47.3250° N 1.0706° E


aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -