See also ebooksgratis.com: no banners, no cookies, totally FREE.

CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
ประวัติศาสตร์สเปน - วิกิพีเดีย

ประวัติศาสตร์สเปน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปราสาทอาลัมบรา
ปราสาทอาลัมบรา

ประวัติศาสตร์ของประเทศสเปน

เนื้อหา

[แก้] ประวัติศาสตร์ยุคเริ่มแรก

เพดานถ้ำอัลตามีรา
เพดานถ้ำอัลตามีรา

ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในคาบสมุทรไอบีเรียย้อนไปได้ถึงประมาณ 8 แสนปีมาแล้ว หลังจากการค้นพบซากของมนุษย์โฮโมแอนเทเซสเซอร์ (Homo antecessor) ในแหล่งโบราณคดีที่กรันโดลีนา ("หลุมยุบขนาดใหญ่") ในภูเขาอาตาปวยร์กา จังหวัดบูร์โกส แคว้นคาสตีลและเลออน

ในช่วงยุคหินเก่าตอนกลาง (3 แสนปี-3 หมื่นปีมาแล้ว) ได้เกิดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายขึ้นพร้อมกับวัฒนธรรมของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Homo neanderthalensis) โดยมีการค้นพบกะโหลกมนุษย์พวกนี้อายุประมาณ 6 หมื่นปีมาแล้วที่ยิบรอลตาร์ รวมทั้งค้นพบภาพเขียนบนผนังถ้ำลาร์เบรดาซึ่งเขียนขึ้นในยุคนี้ที่แคว้นคาเทโลเนีย และเมื่อประมาณ 16,000 ปีมาแล้ว (ซึ่งอยู่ในช่วงยุคหินเก่าตอนปลาย) วัฒนธรรมแมกดาเลเนียน (Magdalenian; Magdaleniense) ก็ได้กำเนิดขึ้นในแถบแคว้นอัสตูเรียส แคว้นกันตาเบรีย และแคว้นบาสก์ปัจจุบัน สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณดังกล่าวคือ ภาพวาดที่มีชื่อเสียงในถ้ำอัลตามีรา

มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) รุ่นแรก (เช่น พวกโกรมาญง) ปรากฏขึ้นตั้งแต่ 15,000 ปีมาแล้ว ส่วนมนุษย์สองพวกแรกที่เกิดขึ้นก่อนนั้นก็เริ่มสูญพันธุ์ไป เกิดวัฒนธรรมแก้วทรงระฆัง (Bell-Beaker culture; Cultura del Vaso Campaniforme) ขึ้นประมาณ 5,500 ปีมาแล้ว จนเมื่อ 3,700 ปีมาแล้ว คาบสมุทรไอบีเรียก็เริ่มเข้าสู่ยุคหินกลาง มนุษย์สมัยนี้รู้จักการทำเกษตรกรรมมากขึ้น ส่วนวิถีชีวิตที่เร่ร่อนของชนเผ่าค่อย ๆ ลดลงเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปถึงประมาณ 3,000 ปี-2,500 ปีมาแล้ว จึงปรากฏชุมชนที่มีวัฒนธรรมแบบยุคโลหะ

แก้วเซรามิกทรงระฆัง พบที่เมืองเซียมโปซวยโลส แคว้นมาดริด
แก้วเซรามิกทรงระฆัง พบที่เมืองเซียมโปซวยโลส แคว้นมาดริด

ความก้าวหน้าของมนุษย์ในยุคสำริดตอนกลางที่สำคัญอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในวัฒนธรรมเอลอาการ์ (El Argar) มีการฝังศพในหม้อขนาดใหญ่และฝังศพเป็นกลุ่ม ตามชุมชนอื่น ๆ ในไอบีเรียก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีการใช้สำริดในเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่นกัน เช่น ขวาน ดาบ กำไล ซึ่งบางครั้งอาจใส่ไปกับศพด้วย ส่วนทางแถบลามันชามีการสร้างเนินเขาเล็ก ๆ ซึ่งบนสุดจะเป็นชุมชนที่มีป้อมปราการล้อมรอบอยู่ ลักษณะนี้เรียกว่าโมตียัส (Motillas) โดยชุมชนกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับชุมชนยุคสำริดแถบชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทร (หรือเรียกว่า "เลบันเต") เนื่องจากมีวัฒนธรรมการใช้โลหะเหมือนกัน วัฒนธรรมโมตียัสดำรงอยู่ประมาณ 200 ปีจนกระทั่งถูกละทิ้งไปเมื่อ 1,300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งร่วมสมัยเดียวกับการสิ้นสุดของวัฒนธรรมเอลอาการ์ จากนั้นในยุคสำริดตอนปลาย อารยธรรมตาร์เตสโซสในหุบเขากวาดัลกีบีร์ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรก็เกิดขึ้น

ในยุคเหล็ก การแบ่งแยกในสังคมเริ่มเห็นได้ชัดขึ้น โดยปรากฏหลักฐานการมีอยู่ของตำแหน่งผู้นำท้องถิ่นและพวกผู้ดีขี่ม้า เป็นไปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นตัวแทนการมาถึงของกระแสวัฒนธรรมจากภายนอก เนื่องจากชาวเคลต์ (Celts; celtas) จากตอนในของทวีปยุโรปได้เริ่มอพยพเข้ามาในยุคนี้ รวมทั้งชาวฟินิเชีย (Phoenicians; fenicios) ก็เริ่มเข้ามาติดต่อกับผู้คนในดินแดนในคาบสมุทรไอบีเรียด้วย

[แก้] การมาถึงของชนกลุ่มต่าง ๆ

หลุมศพในหมู่บ้านชาวไอบีเรียน (โบราณ) แห่งหนึ่งใกล้เมืองอาไซย์ลา จังหวัดเตรวยล์ แคว้นอารากอน
หลุมศพในหมู่บ้านชาวไอบีเรียน (โบราณ) แห่งหนึ่งใกล้เมืองอาไซย์ลา จังหวัดเตรวยล์ แคว้นอารากอน

ชาวเคลต์มาถึงคาบสมุทรในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกเขาเข้าครอบครองอาณาเขตซึ่งปัจจุบันเป็นแคว้นกาลิเซีย แคว้นอัสตูเรียส แคว้นกันตาเบรีย แคว้นบาสก์ ตอนเหนือของแคว้นคาสตีล-เลออน และพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศโปรตุเกส ภายหลังก็ได้กลายเป็นชนกลุ่มหลักของคาบสมุทรไอบีเรีย

ทางด้านชายฝั่งเลบันเตก็เริ่มมีชาวฟินิเชียเข้ามาครั้งแรกเมื่อ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และเริ่มตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช และต่อมาก็ลงไปทางตอนใต้ของคาบสมุทร ตั้งเมืองกาดีร์ มาลากา และอับเดรา (เมืองอาดราในจังหวัดอัลเมรีอาปัจจุบัน) รวมทั้งยังตั้งนิคมการค้าอีกหลายแห่งขึ้นริมฝั่งเมดิเตอร์เนียนด้วย

ส่วนชาวกรีกก็เข้ามาในไอบีเรียเช่นกัน แต่ขึ้นไปตั้งถิ่นฐานตามชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในบริเวณที่เป็นแคว้นคาเทโลเนียปัจจุบัน เช่นที่โรเดส (เมืองโรซัส) และเอมเพอเรียน (เมืองอัมปูเรียส) พวกเขาได้พบกับชาวไอบีเรียน (Iberians; iberos) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองหลักอีกกลุ่มหนึ่งนอกจากชาวเคลต์ โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาวกรีกที่กล่าวถึงชนกลุ่มนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อารยธรรมของชาวตาร์เตสโซสซึ่งสันนิษฐานว่าเจริญขึ้นมาตั้งแต่ก่อนประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาลก็ได้สูญหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

จากนั้น บริเวณตอนในของคาบสมุทร (ที่ราบสูงเมเซตา) เช่น ที่เมืองนูแมนเชีย (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดโซเรีย แคว้นคาสตีลและเลออน) เป็นที่ที่ชาวเคลต์จากภาคตะวันตกเฉียงเหนือและชาวไอบีเรียนจากภาคตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาติดต่อและอยู่ร่วมกัน และได้เกิดกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมแบบผสมและเป็นลักษณะเฉพาะตัว คือ ชาวเคลติเบเรียน (Celtiberian; celtíberos)

[แก้] การพิชิตของชาวคาร์เทจและชาวโรม

อาณาเขตของคาร์เทจ (สีม่วง) และโรม (สีชมพู) ในปี 218 ก่อนคริสต์ศักราช (ก่อนเกิดสงครามพิวนิกครั้งที่ 2)
อาณาเขตของคาร์เทจ (สีม่วง) และโรม (สีชมพู) ในปี 218 ก่อนคริสต์ศักราช (ก่อนเกิดสงครามพิวนิกครั้งที่ 2)

ในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวคาร์เทจ (Carthaginians; cartagineses) ได้เริ่มเข้ามาในคาบสมุทรไอบีเรีย โดยตั้งเมืองคาร์ทาโกโนวา (ปัจจุบันคือเมืองการ์ตาเคนา) ขึ้นริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งต่อมาเมืองนี้ได้กลายเป็นฐานที่มั่นทางทะเลที่สำคัญของชนกลุ่มนี้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ในที่สุดคาร์เทจและโรมก็เกิดความขัดแย้งและสู้รบกันในสงครามพิวนิก (Punic Wars; Guerras Púnicas) ถึงสามครั้ง เหตุผลหลักมาจากทั้งสองฝ่ายต่างต้องการมีอำนาจเหนือดินแดนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามพิวนิกครั้งที่ 1 ซึ่งกินเวลาถึง 23 ปี ชาวคาร์เทจก็หันมาขยายอำนาจทางคาบสมุทรไอบีเรียนี้ เพื่อทดแทนกับการสูญเสียเกาะซิซิลี เกาะซาร์ดิเนีย และเกาะคอร์ซิกาไป

ฮามิลการ์ บาร์กา, ฮันนิบาล และนายพลของคาร์เทจคนอื่น ๆ เข้ามาครอบครองอาณานิคมเดิมของชาวฟินิเชียที่อยู่ตามชายฝั่งของอันดาลูเซียและเลบันเตเข้าไว้ในอำนาจ หลังจากนั้นก็ดำเนินการยึดครองและขยายเขตอิทธิพลเหนือชนพื้นเมืองออกไป เมื่อถึงตอนปลายศตวรรษเดียวกัน เมืองและหมู่บ้านส่วนใหญ่ตั้งแต่แม่น้ำดวยโรและแม่น้ำเอโบรลงมา รวมไปถึงหมู่เกาะแบลีแอริกต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคาร์เทจทั้งสิ้น ฮันนิบาลได้เป็นผู้นำคาร์เทจในการต่อต้านโรมโดยใช้คาบสมุทรไอบีเรียเป็นฐานปฏิบัติการ รวมทั้งนำชนพื้นเมืองมาเป็นกำลังในกองทัพของเขา

จนกระทั่งในปี 219 ก่อนคริสต์ศักราช ฮันนิบาลนำทัพคาร์เทจเข้าโจมตีเมืองซากุนโต ซึ่งเป็นอาณานิคมการค้าของกรีกและเป็นพันธมิตรกับโรม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามพิวนิกครั้งที่ 2 ที่กินเวลา 17 ปี ในสงครามครั้งนี้ ทหารคาร์เทจสามารถรุกข้ามเทือกเขาพิเรนีสและเทือกเขาแอลป์เข้าสู่คาบสมุทรอิตาลีได้สำเร็จ (โดยนำช้าง 50-60 เชือกเข้าช่วยในการรบ) แต่สงครามก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้อีกครั้งของคาร์เทจ โดยเหลือเพียงเมืองของตนริมชายฝั่งแอฟริกาเหนือเท่านั้นที่ยังอยู่ในอำนาจ ส่วนคาบสมุทรไอบีเรียถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐโรมัน เริ่มต้นสมัยของฮิสปาเนีย (Hispania) ในดินแดนแห่งนี้

[แก้] สเปนยุคโรมัน

ท่อส่งน้ำที่เมืองเซโกเบีย งานสาธารณูปโภคที่สำคัญของสเปนยุคโรมัน (ฮิสปาเนีย)
ท่อส่งน้ำที่เมืองเซโกเบีย งานสาธารณูปโภคที่สำคัญของสเปนยุคโรมัน (ฮิสปาเนีย)

หลังสงครามพิวนิกครั้งที่ 2 (218 ปีก่อนคริสต์ศักราช-201 ก่อนคริสต์ศักราช) ถือได้ว่าคาบสมุทรไอบีเรียเกือบทั้งหมดตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรม หลังจากที่ขับไล่ชาวคาร์เทจออกไปแล้ว การเข้าครอบครองดินแดนก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแต่เมืองทางตอนใน (นูแมนเชีย) และเมืองแถบอัสตูเรียสและกันตาเบรียบางแห่งเท่านั้นที่ยังคงต้านกำลังของโรมไว้ได้

ในปีที่ 195 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมันได้แบ่งดินแดนไอบีเรียออกเป็น 2 ส่วน คือ ฮิสปาเนียซีเตรีออร์ (Hispania Citerior) และฮิสปาเนียอุลเตรีออร์ (Hispania Ulterior) โดยพัฒนาเมืองที่มีอยู่ก่อนแล้วในบริเวณนี้ เช่น โอลิสซีโปและตาร์ราโก รวมทั้งสร้างเมืองไกซาเรากุสตา เอเมรีตาเอากุสตา และวาเลนเตีย เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น ฮิสปาเนียกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและเป็นแหล่งโลหะที่สำคัญของโรมัน เมืองท่าต่าง ๆ ในดินแดนนี้ได้ส่งออกทอง ดีบุก เงิน ตะกั่ว ไม้ ข้าวสาลี น้ำมันมะกอก ไวน์ ปลา และการุม (น้ำปลาชนิดหนึ่ง) ไปสู่ตลาดโรมัน

กระบวนการทำให้เป็นโรมันนั้นเริ่มขึ้นในฮิสปาเนียเมื่อประมาณ 110 ปีก่อนคริสต์ศักราช (เรื่อยไปจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 3) โดยมรดกที่โรมันได้ทิ้งไว้ให้เป็นรากฐานของอารยธรรมสเปนได้แก่ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม กฎหมาย รวมทั้งสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ถนน ท่อส่งน้ำ โรงละคร ระบบชลประทาน เป็นต้น ชาวฮิสปาเนียและผู้สืบเชื้อสายจากทหารโรมันหรือผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโรมันในฮิสปาเนียได้รับสถานะเป็นพลเมืองโรมันอย่างสมบูรณ์เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 1 ซึ่งจักรพรรดิทราจัน จักรพรรดิเฮเดรียน และจักรพรรดิมาร์กุส ออเรลีอุส ต่างก็เกิดในฮิสปาเนียเช่นกัน

เขตการปกครองในฮิสปาเนียสมัยแรกเริ่มของจักรวรรดิโรมัน (หลังสงครามกันตาเบรีย)
เขตการปกครองในฮิสปาเนียสมัยแรกเริ่มของจักรวรรดิโรมัน (หลังสงครามกันตาเบรีย)

เมื่อสิ้นสุดสงครามกันตาเบรีย (Cantabrian Wars; Guerras Cántabras) ในปีที่ 19 ก่อนคริสต์ศักราช จักรวรรดิโรมันที่นำโดยจักรพรรดิออกุสตุสก็สามารถเอาชนะชนพื้นเมืองและครอบครองดินแดนไอบีเรียทั้งหมดได้สำเร็จหลังจากพยายามอยู่นานถึง 200 ปี จากนั้นได้แบ่งเขตการปกครองใหม่ออกเป็น 3 มณฑล ได้แก่

  • ฮิสปาเนียตาร์ราโกเนนซิส (Hispania Tarraconensis) ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกของคาบสมุทร เมืองหลวงคือตาร์ราโก
  • ฮิสปาเนียไบตีกา (Hispania Baetica) ครอบคลุมภาคใต้ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณแคว้นอันดาลูเซีย (ยกเว้นจังหวัดอัลเมรีอา จังหวัดกรานาดา และจังหวัดคาเอน) เมืองหลวงคือกอร์ดูบา
  • ลูซีตาเนีย (Lusitania) ครอบคลุมภาคตะวันตกซึ่งปัจจุบันคือบริเวณแคว้นเอกซ์เตรมาดูราและประเทศโปรตุเกส เมืองหลวงคือเอเมรีตาเอากุสตา

โรมันมีอำนาจครอบครองฮิสปาเนียมาจนถึงช่วงที่จักรวรรดิฝั่งตะวันตกล่มสลายลงในคริสต์ศตวรรษที่ 5 เมื่อทางศูนย์กลางของจักรวรรดิไม่สามารถแบ่งสรรกำลังทหารมาปกป้องดินแดนของตนได้อีกต่อไป ชาวฮิสปาเนียก็ต้องพบกับผู้ปกครองใหม่นั่นคือ อนารยชนเผ่าเยอรมันกลุ่มต่าง ๆ จากยุโรปกลาง

[แก้] ฮิสปาเนียภายใต้อำนาจวิซิกอท

ราชอาณาจักรวิซิกอทในปี ค.ศ. 500
ราชอาณาจักรวิซิกอทในปี ค.ศ. 500

ในคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 พวกฮั่น (Huns; hunos) ซึ่งมาจากเอเชียกลางได้เข้าโจมตีและผลักดันชนเผ่าเยอรมันให้เข้ามาในเขตแดนของจักรวรรดิโรมัน ชนเผ่าเหล่านี้ได้สร้างความวุ่นวายและก่อสงครามกับโรมันตามภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้จักรวรรดิค่อย ๆ อ่อนแอลง แต่ในช่วงเดียวกันก็เกิดกระบวนการทำทุกอย่างให้เป็นโรมันขึ้นในหมู่ชนเผ่าเยอรมันและชนเผ่าฮั่นตามแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบซึ่งเป็นพรมแดน โดยเผ่าเยอรมันพวกวิซิกอท (Visigoths; visigodos) ได้หันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายแอเรียนเมื่อประมาณปี ค.ศ. 360

ในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 406 พวกแวนดัล (Vandals; vándalos) พวกซูเอบี (Suebis; suevos) และพวกอาลัน (Alans; alanos) ได้ใช้โอกาสขณะที่น้ำในแม่น้ำไรน์มีสภาพเป็นน้ำแข็งเข้ารุกรานจักรวรรดิโดยใช้กำลังจำนวนมาก และอีก 3 ปีถัดมา อนารยชนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ได้ข้ามเทือกเขาพิเรนีสเข้าสู่ดินแดนคาบสมุทรไอบีเรียและตกลงกันเพื่อแบ่งพื้นที่ปกครองทางภาคตะวันตกและภาคใต้ของคาบสมุทร

ส่วนพวกวิซิกอทนั้นสามารถพิชิตโรมได้ในปี ค.ศ. 410 จากนั้นได้อพยพเข้ามาในกอล (ประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน) และได้กลับไปช่วยเหลือกองทัพของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในการขับไล่พวกแวนดัลและพวกอาลันให้เคลื่อนย้ายไปอยู่ทางตอนเหนือของแอฟริกา (โดยไม่ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ในวัฒนธรรมของสเปนมากนัก) จักรพรรดิโฮโนรีอุสจึงทรงยกมณฑลกัลเลียอากวีตาเนีย (ปัจจุบันคือภาคกลางและภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส) ให้พวกวิซิกอทจัดตั้งราชอาณาจักรของตนขึ้นที่ตูลูส จนกระทั่งจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 476 ราชอาณาจักรวิซิกอทจึงมีอิสระอย่างเต็มที่

ราชอาณาจักรของชาวซูเอบีและราชอาณาจักรของชาววิซิกอทในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 6
ราชอาณาจักรของชาวซูเอบีและราชอาณาจักรของชาววิซิกอทในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 6

ต่อมาในปี ค.ศ. 507 วิซิกอทต้องสูญเสียอำนาจในกอลตอนใต้ให้กับพวกแฟรงก์ (Franks; francos) ซึ่งเป็นเผ่าเยอรมันอีกพวกหนึ่ง เหลือเพียงดินแดนเล็ก ๆ ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จึงได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่บาร์เซโลนา และย้ายไปที่โตเลโดทางภาคกลางของคาบสมุทรไอบีเรีย พร้อม ๆ กับเริ่มขยายอำนาจของตนออกไป ในสมัยพระเจ้าลีอูวีกิลด์ ชาววิซิกอทสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคเหนือ (กันตาเบรียและบาสก์) ได้เมื่อปี ค.ศ. 574 และพิชิตอาณาจักรของชาวซูเอบีทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (กาลิเซีย) ได้เมื่อปี ค.ศ. 585 นอกจากนี้ยังได้ดินแดนทางภาคใต้ (ซึ่งเคยเสียให้กับจักรวรรดิไบแซนไทน์) กลับมาอย่างสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 624 ในสมัยของพระเจ้าซูอินตีลา

พวกวิซิกอทมักจะรักษาสถาบันและกฎหมายต่าง ๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยโรมันไว้ ความใกล้ชิดของราชอาณาจักรวิซิกอทกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและความต่อเนื่องของการค้าในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกนั้นเป็นตัวสนับสนุนวัฒนธรรมของวิซิกอทเอง แต่ในระยะแรกชาววิซิกอทจะไม่ข้องเกี่ยวกับชนพื้นเมือง (ซึ่งอยู่มาก่อนและมีจำนวนมากกว่า) โดยแยกตัวออกไปอยู่ในเขตชนบท ส่งผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดนั่นคือการลดลงของจำนวนประชากรในเขตเมือง รวมทั้งทำให้ภาษาของพวกวิซิกอทส่งอิทธิพลต่อภาษาของคาบสมุทรไอบีเรียในปัจจุบันน้อยมาก

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สังคมในอาณาจักรวิซิกอทไม่รวมเป็นอันหนึ่งอันหนึ่งเดียวกันคือ ชาวฮิสปาเนียนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในขณะที่ชาววิซิกอทยังคงนับถือศาสนาคริสต์นิกายแอเรียน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 586 พระเจ้าเร็กคาเร็ดที่ 1 ซึ่งทรงเป็นโอรสองค์รองของพระเจ้าลีอูวีกิลด์ รวมทั้งชาววิซิกอทส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนไปนับถือคาทอลิกและเริ่มปรับตัวให้เข้ากับชาวฮิสปาเนีย ทำให้พระคาทอลิกมีอำนาจมากขึ้นและหลังจากการประชุมสภาแห่งโตเลโดครั้งที่ 4 เมื่อปี ค.ศ. 633 สภาสงฆ์ได้ประกาศว่า ชาวยิวทุกคนต้องเข้าพิธีล้างบาป

เนื่องจากตำแหน่งกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรนั้นมาจากการคัดเลือกจากชนชั้นสูงไม่ใช่การสืบราชสันตติวงศ์ ปัญหาการแย่งชิงราชบัลลังก์จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งและเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ความอ่อนแอของราชอาณาจักร หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าวิตตีซาในปี ค.ศ. 709 ชนชั้นสูงได้เลือกโรเดอริก ดุ๊กแห่งไบตีกาขึ้นเป็นกษัตริย์ โรเดอริกมีชัยชนะในการทำสงครามกับโอรสของพระเจ้าวิตตีซา (ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร แต่สันนิษฐานว่าคืออากีลา) ซึ่งอ้างสิทธิ์ในการปกครองอาณาจักรเช่นกัน โอรสของพระเจ้าวิตตีซาพร้อมพรรคพวกจึงหนีไปที่เซวตา ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของแอฟริกา และได้ร่วมมือกับชาวยิวและชาวคริสต์นิกายแอเรียนซึ่งอพยพมาหลังจากถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา ไปขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรของชาวมุสลิมซึ่งมีศูนย์อำนาจอยู่ที่ตะวันออกกลางเพื่อต่อต้านกำลังของพระเจ้าโรเดอริก ด้วยเหตุนี้ราชวงศ์ของชาววิซิกอทจึงสิ้นสุดลง และฮิสปาเนียก็ต้องเผชิญกับการรุกรานระลอกใหม่อีกครั้ง

[แก้] การยึดครองของชาวมุสลิมและการพิชิตดินแดนคืน

เมซกีตา (Mezquita) เมืองกอร์โดบา ในสมัยมุสลิมเคยเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก แต่ปัจจุบันเป็นมหาวิหารในศาสนาคริสต์
เมซกีตา (Mezquita) เมืองกอร์โดบา ในสมัยมุสลิมเคยเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก แต่ปัจจุบันเป็นมหาวิหารในศาสนาคริสต์

เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชาวอาหรับและชาวเบอร์เบอร์ซึ่งปกครองตอนเหนือของแอฟริกาอยู่ในขณะนั้น (เรียกว่าชาวมัวร์) ได้นับถือศาสนาอิสลามอยู่ก่อนแล้ว และได้ส่งตอริก อิบน์-ซิยาด นายพลชาวเบอร์เบอร์เข้ามาแทรกแซงสงครามกลางเมืองในฮิสปาเนีย โดยบุกเข้ามาทางภาคใต้ จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 711 ก็ได้เผชิญหน้ากับกองทัพของพระเจ้าโรเดอริกในยุทธการที่แม่น้ำกวาดาเลเต ซึ่งแม้ตอริกจะมีกำลังทหารน้อยกว่าก็ตามแต่ก็ได้รับชัยชนะ ณ ที่นั้น (เชื่อกันว่าพระเจ้าโรเดอริกสิ้นพระชนม์ในที่รบ) จากนั้น มูซา บิน นุซอยร์ ผู้บังคับบัญชาของตอริกพร้อมกำลังสนับสนุนได้ข้ามจากแอฟริกาเข้ารุกรานฮิสปาเนียอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเมื่อ ค.ศ. 718 ชาวมุสลิมก็มีอำนาจครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทร [เรียกชื่อดินแดนฮิสปาเนียในสมัยที่ชาวมุสลิมครอบครองว่า "อัลอันดะลุส" (Al-Andalus)] เหลือเพียงอาณาจักรคริสต์ที่อัสตูเรียส กันตาเบรีย และบาสก์ซึ่งต้านกำลังมุสลิมไว้ได้และเริ่มการพิชิตดินแดนคืน (Reconquista) หลังมีชัยในยุทธการที่หมู่บ้านโกบาดองกาเมื่อปี ค.ศ. 722 นอกจากนี้ การรุกคืบในยุโรปก็ถูกสกัดกั้นโดยชาวแฟรงก์ภายใต้การนำทัพของชาร์ล มาร์แตลในยุทธการที่เมืองตูร์ (ยุทธการที่เมืองปัวตีเย) ค.ศ. 732

ผู้ปกครองของอัลอันดะลุสมีตำแหน่งอยู่ระดับเอมีร์ โดยขึ้นกับกาหลิบอัลวะลิดที่ 1 แห่งราชวงศ์อุไมยัดที่กรุงดามัสกัส พระองค์ทรงให้ความสนใจกับการขยายกำลังทางทหารอย่างมาก ทรงสร้างกองทัพเรือที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยของราชวงศ์นี้ ซึ่งเป็นกลวิธีที่สนับสนุนการขยายอิทธิพลในฮิสปาเนียนั่นเอง ชื่อเมืองบายาโดลิดในภาคกลางของสเปนมีความเกี่ยวข้องกับชื่อภาษาอาหรับของเมือง بلد الوليد ซึ่งหมายถึง "เมืองของอัลวะลิดที่ 1" ขุนนางท้องถิ่นได้รับอนุญาตให้ครอบครองทรัพย์สินและสถานะทางสังคมของตนไว้ตราบเท่าที่ยังยอมรับศาสนาอิสลาม และการเปลี่ยนผู้ปกครองไม่ได้รบกวนกิจประจำวันของพวกเขามากนัก เขตการปกครองย่อยตามพื้นที่ต่าง ๆ ยังเป็นเช่นเดิม แต่ตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นจะตกเป็นของชาวมุสลิมอาหรับ ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมถูกบังคับให้ยอมรับกฎหมายไม่เป็นธรรมซึ่งส่งเสริมสถานะของศาสนาอิสลามให้อยู่เหนือศาสนาคริสต์และศาสนายิวในสังคม จึงมีชาวคริสต์จำนวนหนึ่งในอัลอันดะลุสเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามโดยหวังจะได้รับสิทธิในสังคมเท่าเทียมกับชาวมุสลิม เช่น จ่ายภาษีน้อยลง หรือไม่ต้องเป็นทาสหรือข้าติดที่ดินอีกต่อไป ซึ่งเรียกพวกนี้ว่า "มูลาดีเอส"

หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 750 ราชวงศ์อุไมยัดก็ถูกขับลงจากอำนาจโดยราชวงศ์อับบาซิดจากกรุงแบกแดด กลุ่มผู้นำที่หลงเหลืออยู่นำโดยเจ้าชายอับดะร์เราะห์มานได้หลบหนีมาที่ไอบีเรียและท้าทายอำนาจของราชวงศ์อับบาซิดด้วยการประกาศให้กอร์โดบาเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้ อัลอันดะลุสจึงประสบความขัดแย้งทั้งภายในหมู่ชาวอาหรับด้วยกันเองและกับชาววิซิกอท-โรมัน (ชาวคริสต์) ที่ยังอาศัยอยู่ในคาบสมุทรไอบีเรีย

ขั้นตอนการพิชิตดินแดนคืนของชาวคริสต์
ขั้นตอนการพิชิตดินแดนคืนของชาวคริสต์

ล่วงมาถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เจ้าชายอับดะร์เราะห์มานที่ 3 ก็ได้จัดตั้งอาณาจักรกาหลิบแห่งกอร์โดบา (Caliphate of Córdoba; Califato de Córdoba) ขึ้น ซึ่งถือเป็นการตัดสัมพันธ์กับกาหลิบแห่งแบกแดดโดยสมบูรณ์ กอร์โดบาพยายามรักษาฐานกำลังในแอฟริกาเหนือไว้ แต่ในที่สุดก็เหลือเพียงดินแดนบริเวณรอบ ๆ เซวตาเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ชาวคริสต์ก็เริ่มอพยพเข้าไปสู่ภาคเหนือของคาบสมุทรอย่างช้า ๆ นับเป็นการเพิ่มกำลังให้กับบรรดาอาณาจักรคริสต์ [เช่น เคาน์ตีแห่งคาสตีล ราชอาณาจักรเลออน (อัสตูเรียสเดิม) และราชอาณาจักรนาวาร์ (บาสก์เดิม)] ยิ่งขึ้นด้วย แต่ถึงกระนั้น อัลอันดะลุสก็ยังคงมีฐานะเหนือกว่าอาณาจักรคริสต์เหล่านั้นอยู่มากทั้งในด้านประชากร เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และกำลังทหาร รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรคริสต์เองก็ทำให้อัลอันดะลุสยังปลอดภัยอยู่บ้าง

อาณาจักรมุสลิมในไอบีเรียกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งประมาณปี ค.ศ. 1000 เมื่ออัลมันซูร์พิชิตบาร์เซโลนาได้เมื่อปี ค.ศ. 985 และต่อมาเมืองคริสต์อื่น ๆ ก็ถูกชาวมุสลิมเข้าจู่โจมอีกหลายครั้ง[1] แต่หลังจากสมัยของโอรสของอัลมันซูร์ไป ก็เกิดสงครามกลางเมือง ทำให้อาณาจักรกาหลิบแห่งนี้แตกออกเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ กว่า 40 แห่ง รวมเรียกว่า กลุ่มราชอาณาจักรไตฟา (Taifas) ผู้ปกครองของแต่ละอาณาจักรนี้ก็แข่งขันกันเองไม่เพียงแต่ในสงครามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปกป้องคุ้มครองศิลปะอีกด้วย ทำให้วัฒนธรรมมุสลิมรุ่งเรืองขึ้นอีกในช่วงสั้น ๆ

เขตแดนของราชอาณาจักรคาสตีลและราชอาณาจักรอารากอนในปี ค.ศ. 1210
เขตแดนของราชอาณาจักรคาสตีลและราชอาณาจักรอารากอนในปี ค.ศ. 1210

อย่างไรก็ตาม ไตฟาแต่ละแห่งค่อย ๆ สูญเสียดินแดนให้กับราชอาณาจักรคริสต์ทางเหนือ เอมีร์หรือผู้ปกครองชาวมุสลิมของไตฟาจึงไปขอความช่วยเหลือจากดินแดนภายนอกถึง 2 ครั้ง คือ จากราชวงศ์อัลโมราวิด หลังจากที่เสียโตเลโดไปในปี ค.ศ. 1085 และจากราชวงศ์อัลโมฮัด (ซึ่งมีอำนาจขึ้นมาแทนที่ราชวงศ์อัลโมราวิด) หลังจากเสียลิสบอนเมื่อปี ค.ศ. 1147 ซึ่งอันที่จริงนักรบเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาในคาบสมุทรไอบีเรียเพราะต้องการช่วยเหลือบรรดาเอมีร์ แต่ต้องการผนวกอาณาจักรเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิของตนในแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ

เมื่อกลุ่มของราชวงศ์อัลโมฮัดได้ครอบครองชายฝั่งแอฟริกาเหนือและอัลอันดะลุสซึ่งเคยเป็นของราชวงศ์อัลโมราวิดแล้ว ได้ย้ายศูนย์กลางของอัลอันดะลุสจากกอร์โดบาไปอยู่ที่เซบียาในปี ค.ศ. 1170 และจัดการกับผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามในดินแดนของตนอย่างรุนแรง เมื่อต้องเลือกว่าจะตายหรือจะยอมเปลี่ยนศาสนา ชาวยิวและชาวคริสต์จำนวนมากจึงตัดสินใจอพยพออกไปจากอัลอันดะลุส[2] โดยบางส่วนหนีขึ้นเหนือเพื่อไปตั้งหลักในอาณาจักรคริสต์ซึ่งก็เริ่มมีชัยชนะในดินแดนทางใต้มากขึ้นโดยที่จักรวรรดิอัลโมฮัดไม่ได้ต่อต้านอย่างสม่ำเสมอ ในการรบครั้งสำคัญที่หมู่บ้านลัสนาบัสเดโตโลซา ค.ศ. 1212 กองทัพอัลโมฮัดได้พ่ายแพ้ต่อกองทัพชาวคริสต์ซึ่งเป็นพันธมิตรระหว่างราชอาณาจักรคาสตีล นาวาร์ อารากอน และโปรตุเกส จนกระทั่งเมื่อถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาวมุสลิมก็เสียกอร์โดบาและเซบียาไป เหลือกรานาดาซึ่งปกครองโดยราชวงศ์นาสริดเป็นที่มั่นเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ในคาบสมุทรไอบีเรีย

[แก้] ราชอาณาจักรสเปน

อาณาจักรต่าง ๆ บนคาบสมุทรไอบีเรียประมาณปี ค.ศ. 1360
อาณาจักรต่าง ๆ บนคาบสมุทรไอบีเรียประมาณปี ค.ศ. 1360

ในขณะที่การยึดดินแดนคืนกำลังดำเนินอยู่นั้น ราชรัฐและราชอาณาจักรคริสต์ทางตอนเหนือก็พัฒนาขึ้นในเวลาเดียวกัน เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาณาจักรที่มีความสำคัญที่สุดในบรรดาอาณาจักรคริสต์เหล่านี้ได้แก่ ราชอาณาจักรคาสตีล (ครอบครองตอนกลางและตอนเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย) และราชอาณาจักรอารากอน (ครอบครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทร) กษัตริย์ผู้ปกครองของอาณาจักรทั้งสองนี้เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ในโปรตุเกส (ซึ่งประกาศแยกตัวจากอาณาจักรคาสตีลและเลออนไปเป็นอิสระตั้งแต่ปี ค.ศ. 1129) ฝรั่งเศส และอาณาจักรใกล้เคียงอื่น ๆ โดยบ่อยครั้งจะมีการอภิเษกสมรสระหว่างพระโอรสกับพระธิดาจากราชวงศ์ของอาณาจักรเหล่านี้ ทำให้ดินแดนที่ราชวงศ์เหล่านั้นปกครองได้เข้ามารวมกันอยู่เป็นอาณาจักรเดียว แต่ก็อาจจะแยกออกจากกันภายหลังได้เช่นกัน หากผู้ปกครองอาณาจักรนั้นสิ้นพระชนม์ลงและมีการแบ่งดินแดนให้พระโอรสและพระธิดาพระองค์ต่าง ๆ ปกครอง

การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ในปี ค.ศ. 1474 ทำให้ราชบัลลังก์คาสตีลว่างลงเนื่องจากไม่มีรัชทายาท เกิดความขัดแย้งเรื่องการอ้างสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ระหว่างฝ่ายของเจ้าหญิงคัวนา ลาเบลตราเนคาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโปรตุเกสและฝรั่งเศส กับฝ่ายของเจ้าหญิงอิซาเบลลาที่ได้รับการสนับสนุนจากอารากอนและชนชั้นสูงของคาสตีล จนกระทั่งหลังจากสงครามการสืบราชบัลลังก์คาสตีลสิ้นสุดลง อิซาเบลลาก็ได้ขึ้นครองราชย์และเฉลิมพระนาม "สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสตีล" (Isabella I of Castile; Isabel I de Castilla) และทรงปกครองอาณาจักรร่วมกับพระราชสวามี (ซึ่งทรงอภิเษกสมรสกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1469 ที่เมืองบายาโดลิด) คือ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 5 แห่งคาสตีล ต่อมาในปี ค.ศ. 1479 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 5 ได้ทรงขึ้นครองอาณาจักรอารากอนต่อจากพระเจ้าจอห์นที่ 2 ผู้เป็นพระราชบิดาด้วย และเฉลิมพระนาม "พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน" (Ferdinand II of Aragon; Fernando II de Aragón) การอภิเษกสมรสและครองราชย์ร่วมกันครั้งนี้ได้ทำให้ราชอาณาจักรคาสตีลและราชอาณาจักรอารากอนเข้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเป็นราชอาณาจักรสเปนในเวลาต่อมา

พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 (ซ้าย) และสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลา (ขวา)
พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 (ซ้าย) และสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลา (ขวา)

หลังจากที่สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 ทรงยึดเมืองกรานาดาคืนจากชาวมุสลิมได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1492 (ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการพิชิตดินแดนคืน) ก็ทรงเป็นที่รู้จักในพระนาม "กษัตริย์คาทอลิก" (Catholic Monarchs; Reyes Católicos) ซึ่งเป็นฐานันดรศักดิ์ที่ทรงได้รับจากการแต่งตั้งของสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 นอกจากนี้ ในสมัยของพระองค์ทั้งสอง คาสตีลและอารากอนยังได้รับกรรมสิทธิ์ในการครอบครองหมู่เกาะคะเนรีอย่างสมบูรณ์ และได้ขับไล่ชาวยิวและชาวมุสลิมออกไปจากสเปนภายใต้พระราชกฤษฎีกาอาลัมบรา พระองค์ทั้งสองยังทรงอนุมัติและสนับสนุนการสำรวจดินแดนของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ไปถึงโลกใหม่ (หากไม่นับเลฟ เอริกสัน) ซึ่งจะนำความมั่งคั่งเข้ามาสู่สเปน และเป็นทุนให้รัฐใหม่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของยุโรปในอีกสองศตวรรษถัดมา

สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลายังทรงสร้างความมั่นคงทางการเมืองของสเปนในระยะยาว โดยทรงจัดการอภิเษกสมรสระหว่างพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์กับพระราชวงศ์ของอาณาจักรอื่น ๆ ในยุโรป พระราชธิดาพระองค์แรกคือเจ้าหญิงอิซาเบลลา ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลฟอนโซแห่งโปรตุเกส เจ้าหญิงโจแอนนาพระราชธิดาพระองค์ที่สองทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายฟิลิปรูปหล่อ พระราชโอรสของจักรพรรดิแมกซีมีเลียนที่ 1 กษัตริย์แห่งโบฮีเมีย (ออสเตรีย) และทรงมีสิทธิ์ที่จะได้ขึ้นครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอาณาเขตกว้างขวางและมีอำนาจมากด้วย เจ้าชายจอห์นพระราชโอรสพระองค์แรกและพระองค์เดียว ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมาร์กาเรตแห่งออสเตรีย (พระขนิษฐาของเจ้าชายฟิลิปรูปหล่อ) พระราชธิดาพระองค์ที่สี่ มาเรีย ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้ามานูเอลที่ 1 แห่งโปรตุเกส และพระราชธิดาพระองค์ที่ห้า เจ้าหญิงแคเทอรีน ทรงสมรสกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กษัตริย์แห่งอังกฤษ และต่อมากลายเป็นพระราชชนนีของสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1

แม้ว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชนกลุ่มน้อยทางศาสนา (ชาวยิวและชาวมุสลิม) จะได้รับการยอมรับในคาสตีลและอารากอน (ซึ่งเป็นอาณาจักรคริสต์เพียงสองแห่งที่ชาวยิวไม่ถูกจำกัดการประกอบอาชีพ) ก็ตาม แต่สถานการณ์ของชาวยิวก็เริ่มแย่ลงในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และถึงจุดสำคัญเมื่อปี ค.ศ. 1391 ซึ่งมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นในทุกเมืองใหญ่ (ยกเว้นที่เมืองอาบีลา) ในศตวรรษต่อมา ครึ่งหนึ่งจากจำนวนชาวยิวในสเปนประมาณ 200,000 คนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ (เรียกว่าพวก "กอมเบร์โซส") ในปี ค.ศ. 1492 กษัตริย์คาทอลิกทั้งสองพระองค์ได้ทรงดำเนินการขั้นสุดท้าย คือ ทรงสั่งให้ชาวยิวที่เหลือเปลี่ยนศาสนาหรืออพยพออกไปจากสเปน จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทำให้พอประมาณได้ว่า จำนวนชาวยิวที่ถูกขับไล่ออกไปนั้นอยู่ระหว่าง 40,000 ถึง 120,000 คน และอีกไม่กี่ทศวรรษถัดมา ชาวมุสลิมก็ประสบชะตากรรมเดียวกันโดยถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา (เรียกว่าพวก "โมริสโกส") หรือไม่ก็ถูกขับไล่ออกไป แต่ชาวยิวและชาวมุสลิมก็ไม่ใช่ประชากรเพียงสองกลุ่มในสเปนที่ถูกไล่ล่าในช่วงนี้ ชาวยิปซีก็ถูกรวมอยู่ในบัญชีกลุ่มคนที่จะต้องถูกกลืนเชื้อชาติศาสนาหรือถูกขับไล่เช่นกัน ชายชาวยิปซีอายุ 18-26 ปียังถูกบังคับให้ทำงานในเรือใหญ่ ซึ่งเท่ากับคำพิพากษาประหารชีวิตนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ในจำนวนนี้ก็ยังสามารถซ่อนตัวและหลบเลี่ยงจากการถูกจับกุมไปได้

มหาวิทยาลัยซาลามังกา
มหาวิทยาลัยซาลามังกา

[แก้] ภาษาและมหาวิทยาลัยของสเปน

ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 มีหลายภาษาที่ใช้พูดกันในเขตที่มีชาวคริสต์อาศัยอยู่ของดินแดนที่เป็นประเทศสเปนปัจจุบัน ได้แก่ ภาษาคาสตีล ภาษาคาตาลัน ภาษาบาสก์ ภาษากาลิเซีย ภาษาอารัน และภาษาอัสตูเรียส-เลออน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งศตวรรษนี้ มีเฉพาะภาษาคาสตีล (ซึ่งจะพัฒนามาเป็นภาษาสเปนทุกวันนี้) ที่จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอาณาจักรคาสตีลในฐานะภาษาแห่งวัฒนธรรมและการสื่อสาร ตัวอย่างหนึ่งคือ บทสดุดีวีรกรรมของเอลซิด กัมเปอาดอร์

ในปลายรัชสมัยของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 3 นักบุญ ก็เริ่มมีการใช้ภาษาคาสตีลบ้างในเอกสารต่าง ๆ แต่มากลายเป็นภาษาราชการก็ในรัชสมัยของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 10 ผู้ชาญฉลาด และนับจากนั้นเป็นต้นมา เอกสารต่าง ๆ ของทางการก็จะถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาคาสตีล รวมทั้งตำราจากภาษาอื่นก็ได้รับการแปลเป็นภาษาคาสตีลแทนภาษาละติน

ยิ่งไปกว่านั้น ในศตวรรษเดียวกันนี้เอง มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นหลายแห่งในอาณาจักรคาสตีล บางแห่ง (เช่น มหาวิทยาลัยซาลามังกา) เป็นหนึ่งในบรรดามหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป และในปี ค.ศ. 1492 ภายใต้การปกครองของกษัตริย์คาทอลิก ตำราไวยากรณ์ภาษาคาสตีลฉบับแรกก็ได้รับการจัดพิมพ์ขึ้นโดยอันโตเนียว เด เนบรีคา

[แก้] จักรวรรดิสเปน

โคลัมบัสเริ่มเข้าจับจองดินแดนบนโลกใหม่
โคลัมบัสเริ่มเข้าจับจองดินแดนบนโลกใหม่

จักรวรรดิสเปนเป็นหนึ่งในบรรดาจักรวรรดิสากล (Global Empire) สมัยใหม่และเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สเปนและโปรตุเกสเป็นผู้นำของยุโรปในการสำรวจโลก การขยายอาณานิคม รวมทั้งการเปิดเส้นทางการค้าข้ามมหาสมุทร โดยการค้าได้เจริญเฟื่องฟูขึ้นข้ามน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสเปนกับอเมริกา และข้ามน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างเอเชียตะวันออกกับเม็กซิโก (ผ่านทางฟิลิปปินส์) เหล่ากองกิสตาดอร์ (conquistador - ผู้พิชิตดินแดน) ได้เข้าไปล้มล้างอารยธรรมอัซเตก อินคา และมายา และอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองดินแดนในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้อันกว้างขวาง ในช่วงหนึ่งจักรวรรดิสเปนมีอำนาจเหนือมหาสมุทรต่าง ๆ ด้วยกองทัพเรือที่มีประสบการณ์และมีชัยชนะในสนามรบในทวีปยุโรปด้วยกองทัพที่มีชื่อว่าเตร์ซีโอ (tercio) ซึ่งเป็นทหารราบที่น่าเกรงขามและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี นอกจากนี้ สเปนยังเข้าสู่ยุคทองทางวัฒนธรรมของตนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 อีกด้วย

แผนที่จักรวรรดิสเปนและโปรตุเกสในยุคของสหภาพไอบีเรียภายใต้สถานะรัฐร่วมประมุข (personal union) แห่งกษัตริย์สเปน (ค.ศ. 1580-1640)
แผนที่จักรวรรดิสเปนและโปรตุเกสในยุคของสหภาพไอบีเรียภายใต้สถานะรัฐร่วมประมุข (personal union) แห่งกษัตริย์สเปน (ค.ศ. 1580-1640)

อันที่จริงในช่วงแรก ๆ นั้น จักรวรรดิในอเมริกาค่อนข้างสร้างความผิดหวังให้กับชาวสเปน เนื่องจากชนพื้นเมืองไม่มีอะไรที่จะทำการค้าด้วยมากนัก แม้ว่าผู้ที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานที่นั่นจะพยายามผลักดันการค้าขายก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นโรคภัยที่ติดตัวนักล่าอาณานิคมไปก็ได้คร่าชีวิตชนพื้นเมืองเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นของเขตอารยธรรมอัซเตก มายา และอินคา นี่เองที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของดินแดนที่ชาวสเปนยึดครองได้ลดลง[3]

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1520 การสกัดแร่เงินขนานใหญ่จากแหล่งสะสมอันอุดมสมบูรณ์ในแคว้นกวานาวาโตของเม็กซิโกได้เริ่มต้นขึ้น และเพิ่มปริมาณการสกัดขึ้นอีกจากเหมืองแร่เงินอีกสองแห่งในแคว้นซากาเตกัสของเม็กซิโกและแคว้นโปโตซีของเปรูตั้งแต่ปี ค.ศ. 1546 การขนส่งแร่เงินเหล่านี้เป็นตัวปรับทิศทางเศรษฐกิจสเปน โดยนำไปสู่การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยและเมล็ดพืช สินค้าเหล่านี้ยังกลายเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งต่อการบำรุงแสนยานุภาพของสเปนภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กในการรบอันยืดเยื้อระหว่างชาวยุโรปกับชาวแอฟริกาเหนือ แม้ว่าตัวของสเปนเองโดยเฉพาะแคว้นคาสตีลจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญมากที่สุดอยู่แล้วก็ตาม (ยกเว้นในช่วงไม่กี่ปีของคริสต์ศตวรรษที่ 17) จากจุดเริ่มต้นที่ได้รวมจักรวรรดิโปรตุเกสเข้าด้วยกันในปี ค.ศ. 1580 จนถึงการเสียอาณานิคมของตนในอเมริกาไปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้น สเปนได้ดำรงฐานะจักรวรรดิที่ใหญ่สุดในโลกแม้ว่าจะประสบกับความผันผวนทั้งทางเศรษฐกิจและการทหารตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1640 เป็นต้นมา และเมื่อได้พบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมทั้งความยากลำบากและความทุกข์ทรมานอันเกิดจากการก่อร่างสร้างความเป็นจักรวรรดินั้น บรรดานักคิดของสเปนจึงเริ่มตั้งทฤษฎีแนวคิดสมัยใหม่ว่าด้วยกฎธรรมชาติ เทววิทยา อำนาจอธิปไตย กฎหมายระหว่างประเทศ สงคราม และเศรษฐศาสตร์ แม้กระทั่งการตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของลัทธิจักรวรรดินิยม โดยสำนักความคิดที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกรวม ๆ ว่า สำนักซาลามังกา (School of Salamanca; Escuela de Salamanca)

[แก้] สเปนภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก

จักรวรรดิที่ทรงอำนาจของสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและเสื่อมลงภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (House of Habsburg; Casa de Habsburgo) โดยแผ่อาณาเขตในยุโรปได้กว้างไกลที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ซึ่งพระองค์ยังทรงเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire; Sacro Imperio Romano) ในดินแดนเยอรมันและออสเตรียอีกด้วย โดยเฉลิมพระนาม "จักรพรรดิชาลส์ที่ 5"

พระเจ้าชาลส์ที่ 1 หนึ่งในกษัตริย์ยุโรปที่ทรงอำนาจมากที่สุดระหว่างรัชสมัยของพระองค์
พระเจ้าชาลส์ที่ 1 หนึ่งในกษัตริย์ยุโรปที่ทรงอำนาจมากที่สุดระหว่างรัชสมัยของพระองค์

พระเจ้าชาลส์ที่ 1 (จักรพรรดิชาลส์ที่ 5) เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าฟิลิปที่ 1 แห่งสเปน (เจ้าชายฟิลิป
รูปหล่อ พระราชโอรสในจักรพรรดิแมกซีมีเลียนที่ 1 แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก) และสมเด็จพระราชินีนาถโจแอนนาแห่งคาสตีล (เจ้าหญิงโจแอนนา พระราชธิดาพระองค์ที่สองในพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน และสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสตีลแห่งราชวงศ์ตรัสตามารา) ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งสเปนในปี ค.ศ. 1516 นับแต่นั้นมาสเปนก็เข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในหมู่กษัตริย์ของยุโรปมากยิ่งขึ้น พระองค์ไม่ได้ประทับในสเปนบ่อยนัก ในปลายรัชสมัย พระองค์ได้ทรงเตรียมการแบ่งมรดกของราชวงศ์ฮับส์บูร์กออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนหนึ่งคือ จักรวรรดิสเปน ซึ่งรวมทั้งเนเปิลส์ มิลาน เนเธอร์แลนด์ และอาณานิคมในทวีปอเมริกาด้วย และอีกส่วนคือตัวจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เองรวมทั้งออสเตรีย

ผู้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์สเปนหลังการสละราชสมบัติของจักรพรรดิชาลส์ที่ 5 ในปี ค.ศ. 1556 คือ พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสของพระองค์เอง สเปนรอดพ้นจากความขัดแย้งทางศาสนาซึ่งกำลังลุกลามไปทั่วทุกดินแดนส่วนอื่น ๆ ของยุโรปในขณะนั้นและสามารถธำรงศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกไว้ได้ พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ทรงอุทิศพระองค์ให้กับคาทอลิกโดยทรงต่อต้านทั้งพวกเติร์กออตโตมันและพวกนับถือลัทธินอกรีต ในคริสต์ทศวรรษ 1560 แผนการที่จะควบคุมเนเธอร์แลนด์ให้มั่นคง (ความพยายามรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง) ได้นำไปสู่ความไม่สงบ ซึ่งภายหลังเกิดกลุ่มผู้นำการลุกขึ้นต่อต้านซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ลัทธิกาลแวง (นิกายโปรเตสแตนต์สาขาหนึ่ง) และเกิดสงครามแปดสิบปี (ค.ศ. 1568-1648) ขึ้น ความขัดแย้งนี้ทำให้สเปนสูญเสียค่าใช้จ่ายในการทำสงครามเป็นจำนวนมากและนำไปสู่ความพยายามที่จะยึดครองอังกฤษซึ่งเป็นผู้สนับสนุนชาวดัตช์ให้ลุกฮือขึ้น แต่กองทัพเรืออาร์มาดาของสเปนกลับประสบความพ่ายแพ้ในสงครามอังกฤษ-สเปน (ค.ศ. 1585-1604 เป็นส่วนหนึ่งของสงครามแปดสิบปี) และสงครามระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส (ค.ศ. 1590-1598)

ภาพวาดเรือรบสเปนถูกทำลายโดยกองทัพเรือดัตช์ระหว่างยุทธการที่อ่าวยิบรอลตาร์ ค.ศ. 1607 โดยเฮนดริค คอร์เนลิส โวรม (ผู้พ่อ)
ภาพวาดเรือรบสเปนถูกทำลายโดยกองทัพเรือดัตช์ระหว่างยุทธการที่อ่าวยิบรอลตาร์ ค.ศ. 1607 โดยเฮนดริค คอร์เนลิส โวรม (ผู้พ่อ)
ภาพวาดเรือรบสเปนกำลังต่อสู้กับโจรสลัด ค.ศ. 1615 โดยคอร์เนลิส เฮนดริคส์ โวรม (ผู้ลูก)
ภาพวาดเรือรบสเปนกำลังต่อสู้กับโจรสลัด ค.ศ. 1615 โดยคอร์เนลิส เฮนดริคส์ โวรม (ผู้ลูก)

แม้จะเกิดปัญหาเหล่านั้นขึ้น แต่การหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องของแร่เงินจากอเมริกาตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 รวมทั้งกิตติศัพท์ของทหารราบและการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของกองทัพเรือหลังจากได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการรบกับอังกฤษ ทำให้สเปนกลายเป็นมหาอำนาจของยุโรป สหภาพไอบีเรียซึ่งรวมโปรตุเกสไว้ด้วยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1580 ไม่เพียงแต่ทำให้ดินแดนบนคาบสมุทรกลายเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่ยังเพิ่มแหล่งทรัพยากรทั่วโลกให้กับสเปนอีกด้วย (เช่นที่บราซิลและอินเดีย) อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางเศรษฐกิจและการบริหารก็เพิ่มขึ้นในแคว้นคาสตีล ส่งผลให้ในศตวรรษถัดมาเกิดปัญหาเงินเฟ้อ การขับไล่ชาวยิวและชาวมัวร์ และภาวะพึ่งพิงการนำเข้าเงินและทองคำ ทั้งหมดรวมกันก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นในประเทศ โดยเฉพาะในแคว้นที่ต้องรับภาระหนักอย่างคาสตีล

หมู่บ้านชายฝั่งต่าง ๆ ของสเปนและหมู่เกาะแบลีแอริกมักถูกโจรสลัดบาร์บารีจากแอฟริกาเหนือเข้าปล้นสะดมและโจมตีเสมอ ๆ เกาะฟอร์เมนเตรารวมทั้งชายฝั่งซึ่งเป็นแนวยาวของสเปนและอิตาลี (ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากรังของโจรสลัดบนชายฝั่งแอฟริกาเหนือเป็นระยะทางไม่มากนัก) เกือบทั้งหมดแทบไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่ โจรสลัดที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ บาร์บารอสซา ("เคราแดง") ซึ่งเป็นชาวเติร์ก ชาวยุโรปจำนวนมากถูกจับและขายเป็นทาสในแอฟริกาเหนือและจักรวรรดิออตโตมันระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 19 ปัญหานี้ค่อย ๆ คลายความรุนแรงลงเมื่อสเปนและมหาอำนาจชาวคริสต์อื่น ๆ เริ่มตรวจสอบอำนาจของกองทัพเรือมุสลิมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหลังได้รับชัยชนะที่อ่าวลีพานโตเมื่อปี ค.ศ. 1571[4]

พระเจ้าฟิลิปที่ 2 เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1598 และพระเจ้าฟิลิปที่ 3 พระราชโอรสก็ทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมา ในรัชสมัยของพระองค์ ข้อตกลงสงบศึกกับชาวดัตช์ (ในสงครามแปดสิบปี) ที่ดำเนินมาเป็นเวลา 10 ปีก็สิ้นสุดลง เมื่อสเปนเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618-1648 เกิดขึ้นในช่วง 30 ปีสุดท้ายของสงครามแปดสิบปี)

พระเจ้าฟิลิปที่ 4 ทรงสืบทอดราชสมบัติสเปนต่อจากพระเจ้าฟิลิปที่ 3 ผู้เป็นพระราชบิดาในปี ค.ศ. 1621 นโยบายการบริหารส่วนใหญ่ดำเนินการโดยอัครมหาเสนาบดีกัสปาร์ เด กุซมาน อี ปีเมนตัล เคานต์-ดุ๊กแห่งโอลีบาเรส ในปี ค.ศ. 1640 ในขณะที่การรบ (สงครามสามสิบปี) ในยุโรปกลางยังไม่มีผู้ชนะโดยเด็ดขาดยกเว้นฝรั่งเศส ทั้งโปรตุเกสและคาเทโลเนียได้ก่อการจลาจลขึ้น สเปนเสียโปรตุเกสไปตลอดกาล ส่วนในอิตาลีและคาเทโลเนียนั้น กองกำลังของฝรั่งเศสถูกขับไล่ออกไปและความพยายามแยกตัวเป็นเอกราชของคาเทโลเนียก็ถูกปราบปราม ในรัชสมัยของพระเจ้าชาลส์ที่ 2 พระราชโอรสในพระเจ้าฟิลิปที่ 4 ซึ่งทรงมีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้านั้น สเปนสูญเสียความเป็นผู้นำในยุโรปและค่อย ๆ ลดฐานะลงเป็นชาติมหาอำนาจชั้นสอง

ต่อมาเมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ 2 เสด็จสวรรคต และเนื่องจากพระองค์ไม่ทรงมีรัชทายาท เจ้าชายฟิลิป ดุ๊กแห่งอองชู ซึ่งเป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บง (House of Bourbon; Casa de Borbón) จากฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในผู้มีกรรมสิทธิ์ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์สเปนและเฉลิมพระนาม "พระเจ้าฟิลิปที่ 5" แต่ก็ถูกต่อต้านจากมหาอำนาจอื่น ๆ ในยุโรป เช่น อังกฤษ ปรัสเซีย ซาวอย และเดนมาร์ก-นอร์เวย์ โดยเฉพาะจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทรงอ้างกรรมสิทธิ์ในการปกครองสเปนเช่นกัน ความขัดแย้งดังกล่าวนี้จึงทำให้เกิดสงครามการสืบราชบัลลังก์สเปน (ค.ศ. 1701-1714) ขึ้น สงครามสิ้นสุดลงด้วยการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพซึ่งให้พระเจ้าฟิลิปที่ 5 นั้นทรงปกครองสเปนต่อไป จึงถือว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรง "ชนะ" สงครามนี้ในที่สุด และในการนี้จึงก่อให้เกิดราชวงศ์บูร์บงสายสเปนขึ้นในขณะที่ราชวงศ์ฮับส์บูร์กสายสเปนได้ยุติบทบาทลง อย่างไรก็ตาม สเปนก็ต้องเสียเนเธอร์แลนด์ มิลาน เนเปิลส์ และเกาะซาร์ดิเนียให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เสียเกาะซิซิลีให้ซาวอย และเสียยิบรอลตาร์และเกาะเมนอร์กาให้อังกฤษตามสนธิสัญญาดังกล่าวด้วย จักรวรรดิสเปนจึงมีพื้นที่และอาณาเขตในทวีปยุโรปน้อยลงมาก

[แก้] ยุคทอง

ยุคทองสเปน (ในภาษาสเปน: "ซิกโลเดลโอโร") เป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะและอักษรศาสตร์ในจักรวรรดิสเปน (ปัจจุบันคือประเทศสเปนและประเทศที่ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาทางการในลาตินอเมริกา) ร่วมสมัยกับการเสื่อมถอยทางการเมืองของสเปนในรัชสมัยพระเจ้าฟิลิปที่ 3 พระเจ้าฟิลิปที่ 4 และพระเจ้าชาลส์ที่ 2 นักเขียนที่ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของยุค คือ คัวนา อีเนส เด ลา กรูซ ถึงแก่กรรมในนิวสเปนเมื่อปี ค.ศ. 1695

ราชวงศ์ฮับส์บูร์กทั้งในสเปนและออสเตรียต่างก็เป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ในประเทศของตน เอลเอสโกเรียล อารามหลวงที่พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ทรงสั่งให้สร้างขึ้นนั้นได้ดึงดูดความสนใจจากสถาปนิกและจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ของยุโรปจำนวนหนึ่ง เดียโก เบลัซเกซ จิตรกรที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุโรปได้สร้างสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าฟิลิปที่ 4 และอัครมหาเสนาบดีในพระองค์ (เคานต์-ดุ๊กแห่งโอลีบาเรส) โดยเบลัซเกซวาดรูปคนเหมือน (portrait) อันแสดงให้เห็นถึงรูปแบบและทักษะของเขาไว้ให้เราได้ศึกษา ส่วนเอลเกรโก ศิลปินสเปนซึ่งเป็นที่นับถืออีกคนหนึ่งก็เป็นผู้ที่นำรูปแบบศิลปะเรอเนซองซ์แบบอิตาลีเข้ามาผสมผสานกับศิลปะสเปน และช่วยสร้างสรรค์รูปแบบจิตรกรรมสเปนให้เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ผลงานดนตรีชิ้นเยี่ยมของสเปนจำนวนหนึ่งคาดว่าได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในยุคนี้ นักประพันธ์เพลง เช่น โตมาส ลุยส์ เด บิกโตเรีย, ลุยส์ เด มีลาน และอาลอนโซ โลโบ ได้ช่วยทำให้ดนตรีเรอเนซองซ์เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และอิทธิพลของพวกเขายังส่งผลมาถึงในสมัยบาโรก

วงการวรรณกรรมของสเปนก็เฟื่องฟูในยุคนี้เช่นกัน ตัวอย่างได้แก่ ผลงานที่มีชื่อเสียงของมีเกล เด เซร์บันเตส ผู้ประพันธ์ ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า หรือโลเป เด เบกา ซึ่งเป็นนักเขียนบทละครที่มีผลงานมากที่สุดของสเปน โดยเขียนบทละครมากถึงประมาณ 1,000 เรื่องในช่วงชีวิตของเขา และมากกว่า 400 เรื่องในจำนวนนั้นยังคงตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

[แก้] ยุคสว่าง (ยุคภูมิธรรม): สเปนภายใต้ราชวงศ์บูร์บง

พระเจ้าฟิลิปที่ 5 กษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์บูร์บงซึ่งมีต้นกำเนิดในฝรั่งเศสได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกานวยบาปลันตา (Nueva Planta decrees; Decretos de Nueva Planta) ในปี ค.ศ. 1715 พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้ล้มล้างสิทธิและเอกสิทธิ์ส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมของแต่ละอาณาจักรที่ประกอบกันเป็นสเปน โดยรวมอาณาจักรเหล่านั้นเข้าเป็นหนึ่งเดียวภายใต้กฎหมายของคาสตีล นอกจากนี้ สเปนยังกลายเป็นบริวารทางวัฒนธรรมและการเมืองของฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วย อำนาจการปกครองสเปนของราชวงศ์บูร์บงยังคงดำเนินต่อไปภายใต้การปกครองของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 6 และพระเจ้าชาลส์ที่ 3

คาบสมุทรไอบีเรียในคริสต์ศตวรรษที่ 18
คาบสมุทรไอบีเรียในคริสต์ศตวรรษที่ 18

ภายใต้การปกครองของพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และอัครมหาเสนาบดีในพระองค์ คือ เลโอปอลโด เด เกรโกรีโอ มาร์ควิสแห่งเอสกีลาเช และโคเซ โมนีโญ เคานต์แห่งโฟลรีดาบลังกา สเปนก็ได้เข้าสู่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภูมิธรรม (enlightened despotism) ซึ่งนำพาสเปนไปสู่ความมั่งคั่งครั้งใหม่ในตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 และหลังจากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ร่วมกับฝรั่งเศสต่อสหราชอาณาจักรในสงครามเจ็ดปี (ค.ศ. 1756-1763) สเปนก็ได้ดินแดนที่เคยสูญเสียไปคืนมาเกือบทั้งหมดเมื่อสิ้นสุดสงครามปฏิวัติอเมริกัน (ค.ศ. 1775-1783)

จิตวิญญาณนักปฏิรูปของพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ดับสูญลงเมื่อพระราชโอรสองค์โตในพระองค์ คือ พระเจ้าชาลส์ที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงปล่อยให้มานวยล์ เด โกโดย ชู้รักของพระมเหสีมีอำนาจในการบริหารประเทศเหนือพระองค์ และพระองค์ก็ทรงออกนโยบายซึ่งหักล้างกับแนวทางการปฏิรูปในรัชสมัยของพระราชบิดาอีกด้วย และหลังจากที่ได้ต่อต้านฝรั่งเศสสมัยการปฏิวัติ (ช่วงสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส) ในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่นานนักสเปนก็กลับไปเป็นพันธมิตรกับเพื่อนบ้านทางเหนือแห่งนี้อีกครั้ง ซึ่งทำให้สเปนถูกอังกฤษเข้าปิดล้อมทางทะเลเป็นการตอบโต้ การเสียพันธะทางการค้าและการเมืองกับอาณานิคมของตนรวมทั้งการถูกยึดครองโดยกองทัพนโปเลียนนั้น ภายหลังได้นำไปสู่การเรียกร้องเอกราชของดินแดนเกือบทั้งหมดในโลกใหม่ของจักรวรรดิสเปน โดยความโลเลไร้จุดยืนของพระเจ้าชาลส์ที่ 4 ในฐานะพันธมิตรของฝรั่งเศสเป็นตัวชักนำจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 (นโปเลียน โบนาปาร์ต) แห่งฝรั่งเศสให้ยกทัพเข้ารุกรานสเปนในปี ค.ศ. 1808

ในช่วงเวลาเกือบตลอดทั้งคริสต์ศตวรรษที่ 18 สเปนประสบความก้าวหน้ามากขึ้นหลังจากเข้าสู่สมัยแห่งความตกต่ำในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่ก็ยังคงล้าหลังในการพัฒนาด้านภูมิธรรมและด้านการค้าซึ่งได้เปลี่ยนแปลงส่วนอื่น ๆ ของยุโรปไปแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส กลุ่มประเทศต่ำ และบางส่วนของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ความยุ่งเหยิงวุ่นวายอันเป็นผลจากการแทรกแซงของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 นั้นจะยิ่งทำให้ระยะห่างนี้กว้างยิ่งขึ้น

[แก้] สงครามนโปเลียนและสงครามประกาศเอกราชสเปน

วันที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม 1808 โดยฟรันซิสโก โกยา แสดงทหารฝรั่งเศสกำลังกราดกระสุนใส่กลุ่มผู้ต่อต้านชาวสเปน
วันที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม 1808 โดยฟรันซิสโก โกยา แสดงทหารฝรั่งเศสกำลังกราดกระสุนใส่กลุ่มผู้ต่อต้านชาวสเปน

ในช่วงแรกของสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars; Guerras Napoleónicas ค.ศ. 1803-1815) สเปนอยู่ฝ่ายต่อต้านฝรั่งเศสสมัยการปฏิวัติ แต่ความพ่ายแพ้ของกองทัพในช่วงต้น ๆ ของสงครามได้ทำให้พระเจ้าชาลส์ที่ 4 ทรงตัดสินพระทัยอย่างจริงจังที่จะไปเข้าข้างฝ่ายฝรั่งเศส แต่เมื่อกองทัพเรือผสมฝรั่งเศส-สเปนถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยกองทัพเรืออังกฤษในยุทธการที่แหลมตราฟัลการ์ (ค.ศ. 1805) พระองค์ก็ทรงกลับไปทบทวนการเข้าข้างฝรั่งเศสใหม่โดยทันที สเปนถอนตัวจากระบบภาคพื้นทวีป (Continental System) แม้จะกลับไปเข้าร่วมอักครั้งในปี ค.ศ. 1807 แต่ก็ทำให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ไม่ทรงพอพระทัยอย่างมาก

อนึ่ง การที่สเปนถูกอังกฤษปิดล้อมทางทะเลเนื่องจากไปเข้าข้างฝรั่งเศสนั้น ทำให้อาณานิคมในอเมริกาถูกตัดขาดจากผู้ปกครองของตนเป็นครั้งแรกและเริ่มต้นทำการค้าขายกับอังกฤษได้อย่างอิสระ ความพ่ายแพ้ของอังกฤษซึ่งเข้าไปรุกรานแม่น้ำเพลต (ค.ศ. 1806-1807 ส่วนหนึ่งของสงครามนโปเลียน) ในอเมริกาใต้ยังช่วยเพิ่มความกล้าหาญให้กับผู้ต้องการเป็นเอกราชในอาณานิคมอเมริกาของสเปนมากขึ้น

นอกจากนี้ ในสเปนเองก็เกิดจลาจลต่อต้านรัฐมนตรีโกโดยขึ้นทั่วไป (ในฐานะผู้ดำเนินนโยบายเข้าข้างและถอยห่างจากฝรั่งเศส) เมื่อปี ค.ศ. 1808 พระเจ้าชาลส์ที่ 4 ทรงสละราชสมบัติให้พระราชโอรส คือ เจ้าชายเฟอร์ดินานด์ ขึ้นครองราชย์และเฉลิมพระนาม "พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7" แต่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 (ซึ่งไม่ทรงไว้วางพระทัยราชสำนักสเปนอีกต่อไป) ทรงส่งกองทัพเข้ารุกรานสเปนและบีบบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติให้แก่โจเซฟ โบนาปาร์ต (พระเชษฐาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1) ขึ้นเป็นกษัตริย์ของสเปนแทน อย่างไรก็ตาม ชาวสเปนและทหารสเปนก็ได้ต่อต้านอย่างแข็งขัน โดยประกาศตนอยู่ฝ่ายเดียวกับพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 โดยการต่อสู้ครั้งนี้มีชื่อเรียกว่า สงครามคาบสมุทร (Peninsular War ค.ศ. 1808-1814) หรือที่ชาวสเปนเรียกว่า "สงครามประกาศเอกราชสเปน" (Guerra de la Independencia Española) ในขณะที่เมื่อปี ค.ศ. 1810 สภาเมืองการากัสและบัวโนสไอเรสในอเมริกาใต้ได้ประกาศเอกราชจากรัฐบาลโบนาปาร์ตในสเปนและส่งทูตของตนไปประจำอยู่ที่สหราชอาณาจักร

"สภา" (juntas) ต่าง ๆ ถูกจัดตั้งขึ้นทั่วทุกภูมิภาคในสเปน นอกจากเพราะต้องการต่อต้านฝรั่งเศสแล้ว ก็ยังคาดหวังสิทธิ์ในการปกครองตนเองมากขึ้นจากกรุงมาดริดภายใต้รัฐธรรมนูญเสรีนิยมซึ่งสภาแต่ละแห่งได้ร่างไว้ด้วย รัฐสภาสเปนได้ลี้ภัยจากมาดริดมายังกาดิซทางภาคใต้ และในปี ค.ศ. 1812 สภากาดิซ (ชื่อเรียกรัฐสภาขณะลี้ภัยอยู่ที่เมืองนี้) ได้ตรารัฐธรรมนูญขึ้น ซึ่งนับเป็นรัฐธรรมนูญสมัยใหม่ฉบับแรกของสเปน มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ลาเปปา" (La Pepa) ฝรั่งเศสจึงตอบโต้การตรารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวโดยการผนวกแคว้นคาเทโลเนียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน

ขณะเดียวกัน กองทัพโปรตุเกสร่วมกับกองทัพอังกฤษนำโดยอาร์เทอร์ เวลส์ลีย์ ดุ๊กแห่งเวลลิงตัน ได้เข้าสู้รบกับกองทัพฝรั่งเศสของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สงครามอันโหดร้ายครั้งนี้เป็นหนึ่งในสงครามครั้งแรก ๆ ของประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ที่ใช้วิธีการรบแบบกองโจร โดยเส้นทางขนส่งเสบียงของฝรั่งเศส (ในสเปน) ถูกชาวสเปนซุ่มโจมตีหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งการรบในคาบสมุทรไอบีเรียก็ยังผันผวนไปมา ดุ๊กแห่งเวลลิงตันใช้เวลาหลายปีอยู่ในป้อมปราการที่โปรตุเกสและส่งกองทัพเข้าไปรบในเขตสเปนเมื่อมีโอกาสอันเหมาะสม ในที่สุดฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในยุทธการที่เมืองบีโตเรียทางภาคเหนือของสเปนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1813 และในปีถัดมา และพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ก็ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระประมุขแห่งสเปนอีกครั้ง

[แก้] สเปนในตอนต้นและตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19

แม้ว่าสภาต่าง ๆ ที่มีส่วนในการผลักดันฝรั่งเศสออกไปจากสเปนจะให้สัตยาบันรับรองรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1812 แล้วก็ตาม แต่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 กลับทรงเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความเป็นเสรีมากเกินไปสำหรับประเทศ พระองค์จึงทรงปฏิเสธที่จะให้การรับรองและดำเนินการปกครองประเทศในรูปแบบอำนาจนิยมตามอย่างกษัตริย์พระองค์ก่อน ๆ พวกเสรีนิยมในสเปนจึงรู้สึกเหมือนถูกหักหลังจากกษัตริย์ที่ตนเองเคยสนับสนุน ส่วนสภาตามท้องถิ่นที่เคยต่อต้านโจเซฟ โบนาปาร์ตต่างก็สูญเสียความเชื่อมั่นในการปกครองของกษัตริย์ของตน

แม้ว่าในสเปนพอจะยอมรับการปฏิเสธรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ แต่นโยบายนี้ก็ยังได้รับเสียงต่อต้านจากอาณานิคมของสเปนในโลกใหม่ การปฏิวัติเพื่อเรียกร้องเอกราชยังคงดำเนินต่อไป กองทัพสเปนไปถึงอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1814 โดยมีชัยชนะในการรบในดินแดนต่าง ๆ ในช่วงแรก แต่อาร์เจนตินาก็ประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1816 (โดยมีเอกราชโดยปริยายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1807 ที่สามารถต่อต้านการรุกรานของอังกฤษได้สำเร็จ) ส่วนชิลีนั้นสเปนยึดกลับมาได้ในปี ค.ศ. 1814 แต่ก็เสียไปอย่างถาวรในปี ค.ศ. 1817 เมื่อกองทหารของโคเซ เด ซาน มาร์ติน (หนึ่งในนักปฏิวัติเพื่อเอกราชของอเมริกาใต้) เดินทางจากอาร์เจนตินาข้ามเทือกเขาแอนดีสเข้ามาสมทบและเอาชนะทหารสเปนได้ และต่อมาสเปนก็เสียโคลอมเบียไปอีกในปี ค.ศ. 1819

ราฟาเอล เดล เรียโก
ราฟาเอล เดล เรียโก

เมื่อถึงปี ค.ศ. 1820 เม็กซิโก เปรู เอกวาดอร์ และอเมริกากลางยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมจากสเปน และพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ก็ทรงตัดสินพระทัยจะยึดอาณานิคมที่เสียไปกลับคืนมา แต่สเปน (ซึ่งแทบจะล้มละลายหลังจากการทำสงครามกับฝรั่งเศสและการฟื้นฟูประเทศขึ้นใหม่) ก็ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนรวมทั้งแบ่งอาหารและจัดหาที่พักสภาพดีให้กับทหารได้ ในปีเดียวกัน กองทหารที่กำลังจะถูกส่งไปปฏิบัติการในอเมริกาได้ก่อกบฎขึ้น (นำโดยราฟาเอล เดล เรียโก) ที่เมืองท่ากาดิซและเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1812 กลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งกองทัพทั่วประเทศก็ประกาศเข้าข้างผู้ก่อการครั้งนี้ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 จึงทรงยินยอมและยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ต่อมาพวกปฏิวัติได้ล้อมพระราชวังไว้และกักบริเวณพระองค์ไว้ การลุกฮือเกิดขึ้นอีกในกองทหารที่กรุงมาดริดและสงครามกลางเมืองก็ปะทุขึ้นในเมืองโตเลโด แคว้นคาสตีล และแคว้นอันดาลูเซีย

การปกครองของรัฐบาลเสรีนิยม "หัวก้าวหน้า" และสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นร่วมกันนั้นจะเป็นตัวอย่างของการเมืองสเปนในศตวรรษถัดมา รัฐบุรุษชาติอื่น ๆ ของยุโรปต่างเห็นว่า รัฐบาลเสรีนิยมชุดนี้มีความคล้ายคลึงกับรัฐบาลฝรั่งเศสสมัยการปฏิวัติเป็นอย่างมาก ในการประชุมใหญ่แห่งเวโรนา (ค.ศ. 1822) ฝรั่งเศสก็ได้รับการอนุมัติให้ใช้กำลังเข้าแทรกแซงสเปนและสามารถยึดกรุงมาดริดไว้ได้ กองกำลังปฏิวัติจนมุมและพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 1823 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ก็ทรงกลับมาปกครองประเทศในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อไป ส่วนเรียโกถูกตัดสินประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม สเปนก็เสียอาณานิคมเกือบทั้งหมดไปอย่างสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1824 โดยกองทัพสเปนกองทัพสุดท้ายบนแผ่นดินใหญ่ของทวีปอเมริกาได้ปราชัยต่อกองกำลังของนักปฏิวัติอันโตเนียว โคเซ เด ซูเกร ในยุทธการที่ไอย์อากูโช ทางภาคใต้ของเปรู

สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2
สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2

สมัยแห่งความวุ่นวายยังคงดำเนินต่อมาอีกทศวรรษ เนื่องจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ไม่ทรงมีพระราชโอรสที่จะสืบทอดราชสมบัติ (แต่ทรงมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงอิซาเบลลา) ดังนั้นกษัตริย์พระองค์ต่อมาตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิมจึงควรเป็นพระอนุชาในพระองค์ คือ
เจ้าชายการ์โลส ในขณะที่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ซึ่งทรงอยู่ฝ่ายอนุรักษนิยมและเกรงว่าจะเกิดการก่อการกบฏขึ้นในชาติอีกนั้น ไม่ทรงเห็นว่านโยบายแนวปฏิกิริยาของพระอนุชาเป็นทางเลือกที่จะอยู่ไม่รอด พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 จึงทรงขัดขวางความต้องการของพระอนุชาโดยทรงยกเลิกธรรมเนียมเดิมและพระราชทานสิทธิแห่งการสืบราชสมบัติให้แก่พระราชธิดาในพระองค์แทน ซึ่งเจ้าชายการ์โลสก็ไม่ทรงยอมรับสิทธินั้นและเสด็จหนีไปยังโปรตุเกส

การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ในปี ค.ศ. 1833 และการขึ้นครองราชย์ของเจ้าหญิงอิซาเบลลา (ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 3 ชันษาในขณะนั้น) ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 แห่งสเปน เป็นตัวจุดประกายให้เกิดสงครามการ์ลิสต์ครั้งที่ 1 (First Carlist War; Primera Guerra Carlista ค.ศ. 1833-1839) เจ้าชายการ์โลสทรงบุกสเปนและได้รับการสนับสนุนจากทั้งพวกปฏิกิริยาและพวกอนุรักษนิยมในประเทศ (ที่พวกอนุรักษนิยมหรือพวกนิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ฝ่ายเจ้าชายการ์โลสนั้น เป็นเพราะทราบว่าต่อไปสมเด็จพระราชินีนาถจะทรงปฏิรูปบ้านเมืองให้เป็นไปในทางเสรีนิยม โดยกลุ่มผู้สนับสนุนเจ้าชายเรียกว่า "พวก
การ์ลิสต์") ส่วนพระราชชนนีของสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลา คือ สมเด็จพระราชินีนาถมาเรีย-คริสตินาแห่ง
บูร์บง-ซิซิลีทั้งสอง ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจนกว่าพระราชธิดาจะทรงบรรลุนิติภาวะ

เจ้าชายการ์โลส ดุ๊กแห่งโมลีนา
เจ้าชายการ์โลส ดุ๊กแห่งโมลีนา

การก่อการกบฏดูเหมือนจะถูกกำราบในปลายปีเดียวกันนั้นเอง โดยกองทัพ (พวกเสรีนิยม) ของสมเด็จพระราชินีนาถมาเรีย-คริสตินาซึ่งเรียกว่า "กองกำลังกริสตีโนส" หรือ "กองกำลังอีซาเบลีโนส" สามารถขับไล่กองทัพการ์ลิสต์จากพื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นบาสก์ได้ เจ้าชายการ์โลสจึงทรงแต่งตั้งพลเอกโตมาส เด ซูมาลาการ์เรกี นายทหารชาวบาสก์เป็นผู้บัญชาการทหารในพระองค์ ซูมาลาการ์เรกีรวบรวมและฟื้นฟูพวกการ์ลิสต์ขึ้นมาใหม่ และเมื่อถึงปี ค.ศ. 1835 ได้ผลักดันให้กองกำลังกริสตีโนถอยร่นกลับไปยังแม่น้ำเอโบร และเปลี่ยนแปลงกองทัพที่กำลังเสียขวัญของพวกการ์ลิสต์ให้เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งด้วยกำลังทหาร 3 หมื่นคนที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่ากองกำลังของรัฐบาล แต่การเสียชีวิตของซูมาลาการ์เรกีจากการรบในปี ค.ศ. 1835 ก็เปลี่ยนแปลงอนาคตของพวกการ์ลิสต์อีกครั้ง นอกจากนี้พวกกริสตีโนสยังได้นายพลผู้มีความสามารถ คือ บัลโดเมโร เอสปาร์เตโร เข้ามาบัญชาการ ชัยชนะของเขาในยุทธการที่เขตลูชานา (ค.ศ. 1836) เป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม และในปี ค.ศ. 1839 การประชุมใหญ่แห่งเบร์การาก็ได้ยุติการก่อกบฏของพวกการ์ลิสต์ลง

เอสปาร์เตโรเริ่มได้รับความนิยมในฐานะวีรบุรุษจากสงครามด้วยสมญานาม "ผู้สร้างสันติของสเปน" เขาร้องขอให้มีการปฏิรูปแบบเสรีนิยมจากสมเด็จพระราชินีนาถมาเรีย-คริสตินา แต่พระองค์ซึ่งไม่ทรงสนับสนุนแนวคิดใด ๆ ก็ทรงลาออกและให้เอสปาร์เตโรขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ต่อมาการปฏิรูปแบบเสรีนิยมของเอสปาร์เตโรถูกต่อต้านโดยพวกสายกลาง นอกจากนี้ ความไร้ประสบการณ์ทางการเมืองและความแข็งกระด้างของเขายังได้ก่อให้เกิดการลุกฮือขึ้นเป็นระยะ ๆ ในพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ทั่วประเทศซึ่งทั้งหมดถูกปราบปราบลงอย่างรุนแรง เขาถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการในปี ค.ศ. 1843 โดยรามอน มารีอา นาร์บาเอซ ซึ่งเป็นนายพลสายกลาง เมื่อปี ค.ศ. 1846 พวกการ์ลิสต์ก่อการจลาจลขึ้นอีกและเกิดเป็นสงครามของผู้ตื่นเช้า (War of the Matiners; Guerra de los Matiners) ในแคว้นคาเทโลเนีย แต่คราวนี้พวกการ์ลิสต์จัดการกองทัพได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุให้ถูกปราบลงได้เมื่อปี ค.ศ. 1849

เลโอปอลโด โอดอนเนลล์
เลโอปอลโด โอดอนเนลล์

รัฐสภาสเปนไม่พอใจกับการปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศ จึงตัดสินใจที่จะไม่แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก และประกาศให้เจ้าหญิงอิซาเบลลาซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 13 พรรษา ขึ้นครองราชย์และเฉลิมพระนามสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 จากนั้นพระองค์ก็ทรงเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในรัฐบาลหลังจากทรงบรรลุนิติภาวะ แต่ตลอดรัชสมัยของพระองค์ก็ทรงไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก พระองค์ทรงถูกมองว่าไม่ทรงเอาพระทัยใส่ประชาชนชาวสเปน ปี ค.ศ. 1856 พระองค์ทรงจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพวกสายกลางกับพวกหัวก้าวหน้า คือ สหภาพเสรีนิยม (Unión Liberal) ภายใต้การนำของนายพลเลโอปอลโด โอดอนเนลล์ แต่แผนการของสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 ล้มเหลวและทำให้พระองค์ทรงสูญเสียเกียรติภูมิและความนิยมจากประชาชนยิ่งขึ้นไปอีก

ปี ค.ศ. 1860 สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 ทรงประกาศทำสงครามกับโมร็อกโก โดยมีนายพลโอดอนเนลล์และควน ปริมเป็นผู้บัญชาการ การได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนี้ทำให้พระองค์ทรงสามารถรักษาความนิยมในสเปนไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ในการรบเพื่อยึดเปรูและชิลีกลับคืนมาในช่วงสงครามหมู่เกาะชินชาในมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นก็สร้างความเสียหายอย่างหนักและสเปนต้องปราชัยให้กับทหารอเมริกาใต้ และในปี ค.ศ. 1866 การก่อการกำเริบที่นำโดยควน ปริม ถูกปราบปรามลงได้ แต่ก็เป็นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าประชาชนสเปนก็ไม่พอใจกับความพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวด้านการปกครองของสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2

[แก้] ประชาธิปไตย 6 ปี (ค.ศ. 1868–1874)

ควน (โชอัน) ปริม
ควน (โชอัน) ปริม

ในปี ค.ศ. 1868 นายพล "หัวก้าวหน้า" ได้แก่ ฟรันซิสโก เซร์ราโน และควน ปริมได้ร่วมมือกันทำรัฐประหาร และเอาชนะกองทหาร "สายกลาง" ของพระองค์ได้ในยุทธการที่เมืองอัลโกเลอา ในที่สุดสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 ต้องเสด็จลี้ภัยอยู่ในกรุงปารีส

การปฏิวัติและอนาธิปไตยยังเกิดขึ้นในสเปนเป็นเวลาอีกสองปีนับจากนั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1870 รัฐสภาออกประกาศว่าสเปนจะมีกษัตริย์อีกครั้งหนึ่ง การตัดสินใจนี้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ยุโรปเมื่อเจ้าชายเลโอโปลด์แห่งราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์นจากปรัสเซียได้รับการเสนอให้มีสิทธิได้รับเลือกเป็นกษัตริย์สเปน การต่อต้านของฝรั่งเศสเนื่องจากเกรงว่าปรัสเซียจะแผ่ขยายอำนาจลงมาทางใต้นั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียขึ้นในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามในปลายปีเดียวกัน เจ้าชายอะมาเดโอแห่งซาวอยก็ได้รับการคัดเลือกและทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์แห่งสเปน โดยเฉลิมพระนาม "พระเจ้าอะมาเดโอที่ 1 แห่งสเปน" ในช่วงเวลาเดียวกับที่นายพลควน ปริม ผู้สนับสนุนพระองค์ถูกลอบสังหาร

พระเจ้าอะมาเดโอที่ 1 ทรงรับรองรัฐธรรมนูญเสรีนิยมที่รัฐสภาสเปนได้ประกาศไว้ แต่พระองค์ต้องทรงเผชิญภาระหนักโดยทันทีในการนำอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันของสเปนมาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในสเปนยังคงมีความขัดแย้งถกเถียงกันไม่เพียงแต่ในหมู่ชาวสเปนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ ด้วย ซึ่งแม้ว่ารัฐสภาจะเป็นผู้เลือกพระองค์ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ ก็กลับมองว่าพระองค์ทรงเป็นคนนอก ยิ่งไปกว่านั้น ในรัชสมัยของพระองค์ พวกการ์ลิสต์ก็ก่อสงครามขึ้นอีก และยังมีปัญหาเกี่ยวกับกระแสเรียกร้องเอกราชในคิวบา

[แก้] สาธารณรัฐสเปนที่ 1

ธงชาติสเปนสมัยสาธารณรัฐที่ 1
ธงชาติสเปนสมัยสาธารณรัฐที่ 1

พระเจ้าอะมาเดโอที่ 1 ทรงปกครองประเทศโดยไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริงจากทั้งภาคการเมืองและภาคประชาชน ต่อมาในปี ค.ศ. 1873 รัฐบาลหัวรุนแรงได้ร้องขอให้พระองค์ออกพระราชกฤษฎีกายุบกองทหารปืนใหญ่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพระองค์กับนายกรัฐมนตรี พระองค์จึงทรงสละราชบัลลังก์สเปนทันทีโดยทรงประกาศว่าชาวสเปน "ปกครองไม่ได้" จากนั้นจึงเสด็จออกไปจากประเทศเพื่อกลับไปอิตาลี ในวันรุ่งขึ้น (11 กุมภาพันธ์) เสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยพวกหัวรุนแรง พวกสาธารณรัฐ และพวกประชาธิปไตยได้ประกาศให้สเปนเป็นประเทศสาธารณรัฐ

สเปนถูกรุมเร้าจากปัญหาที่ยังเรื้อรังจากช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกการ์ลิสต์เป็นภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยก่อกบฏที่ใช้ความรุนแรงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872 นอกจากนี้ยังมีการบ่อนทำลายในกองทัพ ความพยายามกระทำรัฐประหาร เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิวัติในแบบสังคมนิยม การลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลและความก่อความไม่สงบในแคว้นนาวาร์และคาเทโลเนีย รวมทั้งแรงกดดันจากคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกต่อสาธารณรัฐเกิดใหม่แห่งนี้ด้วย

[แก้] การฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 12
พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 12

สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 ทรงสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์สเปนเมื่อปี ค.ศ. 1870 ให้แก่พระราชโอรส คือ เจ้าชายอัลฟอนโซแห่งอัสตูเรียส และหลังจากเกิดความวุ่นวายไม่สิ้นสุดในสาธารณรัฐสเปนที่ 1 ชาวสเปนส่วนใหญ่ก็ตกลงใจที่ยอมรับการกลับไปสู่ความมีเสถียรภาพของประเทศภายใต้การปกครองของราชวงศ์บูร์บง กองกำลังสาธารณรัฐนิยมในสเปนนำโดยพลจัตวามาร์ตีเนซ กัมโปสที่กำลังต่อต้านการก่อการกบฏของพวกการ์ลิสต์อยู่นั้นได้ประกาศสวามิภักดิ์ต่อเจ้าชายอัลฟอนโซในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1874-1875 ต่อมาสาธารณรัฐสเปนก็สลายตัวไป เจ้าชายอัลฟอนโซทรงขึ้นครองราชย์และเฉลิมพระนามพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 12 แห่งสเปน ส่วนอันโตเนียว กาโนบัส เดล กัสตีโย ที่ปรึกษาในพระองค์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในวันสิ้นปี ค.ศ. 1874 พวกการ์ลิสต์ถูกปราบลงอย่างราบคาบโดยกษัตริย์พระองค์ใหม่ซึ่งทรงเข้าไปมีบทบาทในสงครามและทรงได้รับการสนับสนุนจากพสกนิกรส่วนใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว

ระบบหมุนเวียนทางการเมืองหรือ ตูร์โน (turno) ระหว่างพรรคเสรีนิยมซึ่งนำโดยปรากเซเดส มาเตโอ ซากัสตากับพรรคอนุรักษนิยมซึ่งนำโดยกาโนบัส เดล กัสตีโย ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อผลัดกันมีอำนาจในรัฐบาล นอกจากนี้ ความมั่นคงและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของสเปนได้รับการฟื้นฟูในรัชสมัยของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 12 นี้เอง แต่การเสด็จสวรรตของพระองค์เมื่อปี ค.ศ. 1885 ตามด้วยการลอบสังหารกาโนบัส เดล กัสตีโยเมื่อปี ค.ศ. 1897 ทำให้ความมั่นคงของรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศในเวลาต่อมาเริ่มสั่นคลอน

ซากเรือรบเมน
ซากเรือรบเมน

ส่วนที่อเมริกา คิวบาได้ก่อความไม่สงบต่อต้านสเปนในสงครามสิบปีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1868 ส่งผลให้เกิดการเลิกทาสในดินแดนอาณานิคมโลกใหม่ของสเปน ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาที่มีในเกาะแห่งนี้ประกอบกับความพยายามของขบวนการเรียกร้องเอกราชในคิวบาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้แย่ลง การระเบิดเรือรบเมนที่ฐานทัพเรือฮาวานาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1898 เป็นชนวนให้เกิดสงครามสเปน-สหรัฐอเมริกา เนื่องจากสเปนตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ สเปนจึงต้องประสบกับหายนะร้ายแรงอีกครั้งหนึ่ง คิวบาได้รับเอกราชในที่สุด สเปนต้องถอนกำลังทหารออกไปและยังต้องเสียอาณานิคมที่เหลืออยู่ในโลกใหม่ คือ เปอร์โตริโก พร้อม ๆ กับกวมและฟิลิปปินส์ให้กับสหรัฐอเมริกาด้วย และในปี ค.ศ. 1899 สเปนก็ขายหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ยังอยู่ในความครอบครองของตน (ได้แก่ หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา หมู่เกาะแคโรไลน์ และปาเลา) ให้กับเยอรมนี ทำให้สเปนมีดินแดนอาณานิคมเหลือเพียงสแปนิชโมร็อกโก สแปนิชสะฮารา และสแปนิชกินี ซึ่งทั้งหมดอยู่ในแอฟริกา

"หายนะ" ในปี ค.ศ. 1898 ได้ก่อให้เกิดกลุ่ม 98 (Generation of '98; Generación del 98) ซึ่งเป็นกลุ่มของรัฐบุรุษและปัญญาชนที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลชุดใหม่ขึ้น นอกจากนี้ ขบวนการอนาธิปไตยและฟาสซิสต์เริ่มก่อตัวขึ้นในสเปนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1909 ความไม่พอใจรัฐบาลที่เรียกเกณฑ์กำลังสำรอง (เพื่อส่งไปรบและรักษาดินแดนอาณานิคมในโมร็อกโก) อย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ชนชั้นแรงงานในเมืองบาร์เซโลนาและเมืองอื่น ๆ ของแคว้นคาเทโลเนียนัดหยุดงานประท้วงและก่อการจลาจลโดยได้รับการสนับสนุนจากพวกอนาธิปไตย พวกต่อต้านทหาร และพวกสังคมนิยม นำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างกองกำลังของรัฐบาลกับชนชั้นแรงงานซึ่งเรียกว่า สัปดาห์ที่น่าโศกเศร้า (Tragic Week; Semana Trágica) ผลคือฝ่ายหลังถูกปราบปรามอย่างรุนแรงและเสียชีวิตไปมากกว่าร้อยคน


การรักษาความเป็นกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ไว้ได้นั้นทำให้สเปนกลายเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบและเสบียงให้กับประเทศคู่สงครามทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งส่งผลดีอย่างมากกับประเทศ กล่าวคือ เศรษฐกิจเฟื่องฟูขึ้นทันที เกิดการพัฒนาทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ทั้งคนรวยและคนจนต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่การแพร่ระบาดของไข้หวัดสเปนทั้งในประเทศและที่อื่น ๆ ในโลก รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกก็สร้างความเสียหายให้กับสเปนอีก โดยต้องตกอยู่ในสภาวะเป็นหนี้ การนัดหยุดงานของผู้ใช้แรงงานถูกปราบปรามในปี ค.ศ. 1919

การปฏิบัติต่อชาวมัวร์อย่างไม่เป็นธรรมในดินแดนสแปนิชโมร็อกโกนำไปสู่การลุกฮือและการเสียดินแดนในแอฟริกาเหนือแห่งนี้ไป (เหลือเพียงเมืองเซวตาและเมลียา) ในปี ค.ศ. 1921 พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 ทรงตัดสินพระทัยสนับสนุนจอมพลมีเกล ปรีโม เด รีเบราให้ปกครองประเทศในระบอบเผด็จการ เพื่อหลีกเลี่ยงภาระรับผิดชอบต่อการสูญเสียทั้งทหารและงบประมาณจากการพ่ายแพ้สงครามครั้งนั้น อย่างไรก็ตาม การร่วมรบกับฝรั่งเศสเพื่อต่อต้านชนพื้นเมืองในโมร็อกโก (ค.ศ. 1925-1927) ก็ทำให้สเปนได้ดินแดนบางส่วนกลับคืนมาบ้าง

ต่อมาสภาวะล้มละลายในปี ค.ศ. 1930 และการต่อต้านอย่างกว้างขวางจากประชาชนทำให้พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 ทรงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการบังคับให้นายพลปรีโม เด รีเบราลาออกจากตำแหน่ง พลเอกดามาโซ เบเรงเกร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลชุดใหม่ แต่เนื่องจากประชาชนเสื่อมศรัทธากับกษัตริย์ที่ทรงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการ จึงมีเสียงเรียกร้องให้มีการสถาปนาประเทศเป็นสาธารณรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปีต่อมา (ค.ศ. 1931) เบเรงเกร์ประกาศลาออก มีการจัดการเลือกตั้งระดับเทศบาลเมื่อเดือนเมษายน ปีเดียวกัน ซึ่งประชาชนในเขตเมืองพากันลงคะแนนเสียงให้กับกลุ่มสาธารณรัฐนิยม ทำให้พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 ต้องทรงลี้ภัยออกจากประเทศ และแม้พระองค์จะไม่ได้ทรงประกาศสละราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการ แต่สาธารณรัฐสเปนก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นครั้งที่ 2

[แก้] สาธารณรัฐสเปนที่ 2

ธงชาติสเปนสมัยสาธารณรัฐที่ 2
ธงชาติสเปนสมัยสาธารณรัฐที่ 2

ในสมัยสาธารณรัฐที่ 2 ผู้หญิงชาวสเปนสิทธิออกเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปได้เป็นครั้งแรก รัฐบาลกลางมีแนวโน้มที่จะให้สิทธิในการปกครองตนเองแก่แคว้นบาสก์และแคว้นคาเทโลเนียมากขึ้น

รัฐบาลชุดแรก ๆ ของสาธารณรัฐเป็นฝ่ายกลาง-ซ้ายที่นำโดยนีเซโต อัลกาลา-ซาโมราและมานวยล์ อาซาญา ปัญหาเศรษฐกิจและการเป็นหนี้ที่สืบเนื่องมาจากสมัยการบริหารของปรีโม เด รีเบรา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลผสมอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนำไปสู่การก่อความไม่สงบทางการเมืองอย่างรุนแรงของกลุ่มชาวนาในแคว้นเอกซ์เตรมาดูราและแคว้นอันดาลูเซียทางภาคใต้

ต่อมาในปี ค.ศ. 1933 สมาพันธ์สิทธิปกครองตนเองสเปนหรือเซดา (CEDA) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาได้รับเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากให้เป็นรัฐบาล แต่ก็ยังทำผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ จนกระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 1934 พวกแรงงานเหมืองถ่านหินที่แคว้นอัสตูเรียสได้นัดหยุดงานและก่อการจลาจลขึ้นโดยใช้อาวุธ รัฐบาลจึงส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก นี่เองเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองขึ้นอีกทั่วประเทศ เช่น ขบวนการอนาธิปไตย กลุ่มปฏิกิริยาใหม่ และกลุ่มฟาสซิสต์ ซึ่งรวมทั้งพวกฟาลังเค (Falange) และพวกการ์ลิสต์ที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ด้วย เป็นต้น

[แก้] สงครามกลางเมือง

ในคริสต์ทศวรรษ 1930 การเมืองสเปนแตกแยกออกเป็น 2 ขั้วอำนาจคือฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ฝ่ายซ้ายได้แก่พรรคการเมืองฝ่ายสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ซึ่งต้องการให้มีการต่อสู้ระหว่างชนชั้น การปฏิรูปที่ดิน การปกครองตนเองของแต่ละแคว้น รวมทั้งการลดอำนาจศาสนจักรและกษัตริย์ลง ส่วนฝ่ายขวาซึ่งกลุ่มใหญ่ที่สุดคือพรรคเซดาและกลุ่มคาทอลิกมีความเห็นคัดค้านกับประเด็นดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1936 พรรคฝ่ายซ้ายทั้งหมดรวมกลุ่มกันเป็นพรรคแนวหน้าประชาชน (Popular Front; Frente Popular) และได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน อย่างไรก็ตามรัฐบาลผสมซึ่งเป็นฝ่ายกลาง-ซ้ายชุดนี้ก็ยังถูกบ่อนทำลายโดยกลุ่มที่ต้องการการปฏิวัติ เช่น สมาพันธ์แรงงานแห่งชาติ (CNT) และสหพันธ์อนาธิปไตยไอบีเรีย (FAI) และโดยกลุ่มขวาจัดที่ต่อต้านประชาธิปไตย เช่น พวกฟาลังเคและพวกการ์ลิสต์ ความรุนแรงทางการเมืองอย่างที่เคยเกิดในปีที่ผ่านมาเริ่มกลับมาอีกครั้ง ทั้งในเมืองหลวงและท้องที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศมีการต่อสู้กันด้วยอาวุธปืนในการประท้วงหยุดงาน ชาวนาที่ไม่มีที่ทำกินเริ่มเข้ายึดที่ดินจากนายทุน บุคคลทางศาสนาถูกสังหาร โบสถ์และคอนแวนต์ถูกเผาทำลายไปหลายแห่ง กองทหารอาสาสมัครฝ่ายขวา (เช่น ฟาลังเค) และมือปืนที่ถูกว่าจ้างมาได้ลอบสังหารนักปฏิบัติการหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย รัฐบาลไม่สามารถจัดการกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่ได้สร้างความสมานฉันท์หรือความเชื่อใจกันระหว่างกลุ่มการเมืองทั้งหลายอันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเกิดสันติภาพ พวกฝ่ายขวาและบุคคลระดับสูงในกองทัพเริ่มวางแผนก่อการยึดอำนาจ และเมื่อโคเซ กัลโบ-โซเตโล ผู้นำนักการเมืองฝ่ายขวาถูกลอบยิงโดยตำรวจของสาธารณรัฐ ฝ่ายผู้ก่อการ (เรียกว่า "ฝ่ายชาตินิยม") จึงถือเอาเหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการปฏิวัติเพื่อล้มรัฐบาล เป็นผลให้ความขัดแย้งภายในชาติกลายสภาพเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด

เครื่องบินฝ่ายชาตินิยมทิ้งระเบิดใส่กรุงมาดริดในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1936
เครื่องบินฝ่ายชาตินิยมทิ้งระเบิดใส่กรุงมาดริดในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1936

ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1936 พลเอกฟรันซิสโก ฟรังโกนำกองทัพอาณานิคมในโมร็อกโกจากเมืองเมลียาและบุกเข้าโจมตีแผ่นดินใหญ่จากภาคใต้ ในขณะที่กำลังอีกด้านหนึ่งภายใต้การนำของพลเอกซานคูร์โคก็เคลื่อนพลจากแคว้นนาวาร์ทางภาคเหนือลงมาทางใต้ มีการระดมพลขึ้นทุกแห่งโดยมีจุดประสงค์เพื่อเข้ายึดหน่วยงานต่าง ๆ ของฝ่ายรัฐบาล (หรือ "ฝ่ายสาธารณรัฐนิยม") ซึ่งการบุกเข้าโจมตีของฟรังโกถูกตั้งเป้าหมายไว้ในตอนแรกว่าจะยึดอำนาจให้ได้ในทันที แต่ความสำเร็จอย่างดีในการต้านกำลังฝ่ายตรงข้ามของฝ่ายสาธารณรัฐนิยมในเมืองใหญ่เช่น มาดริด บาร์เซโลนา บาเลนเซีย และบิลบาโอ ก็ส่อเค้าให้เห็นว่าสเปนจะต้องผจญกับสงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อต่อไป ในไม่ช้า พื้นที่ส่วนใหญ่ทางภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายชาตินิยม ซึ่งมีกองทหารประจำการในแอฟริกาเป็นกำลังรบที่มีความเป็นมืออาชีพมากที่สุด นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้รับความช่วยเหลือทางการทหารจากต่างชาติอีกด้วย กล่าวคือ ฝ่ายชาตินิยมได้รับความช่วยเหลือจากเยอรมนีนาซี อิตาลีฟาสซิสต์ และโปรตุเกส ส่วนฝ่ายรัฐบาล (สาธารณรัฐนิยม) ได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตและกองกำลังอาสาคอมมิวนิสต์ซึ่งรวมตัวกันในชื่อว่า กองพลน้อยนานาชาติ (International Brigades)

ฟรังโกประกาศการยุติสงครามที่เมืองบูร์โกสเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1939
ฟรังโกประกาศการยุติสงครามที่เมืองบูร์โกสเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1939

การล้อมป้อมอัลกาซาร์ที่เมืองโตเลโดในช่วงต้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งของสงคราม โดยฝ่ายชาตินิยมได้รับชัยชนะหลังจากล้อมอยู่เป็นเวลานาน ส่วนฝ่ายสาธารณรัฐนิยมยังสามารถยึดกรุงมาดริดเป็นฐานที่มั่นไว้ได้แม้ฝ่ายชาตินิยมจะเข้าโจมตีในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1936 นอกจากนี้ยังสามารถยืนหยัดต้านการรุกเข้าเมืองหลวงไว้ได้ที่ริมแม่น้ำคารามาและเมืองกวาดาลาคาราเมื่อปี ค.ศ. 1937 แต่หลังจากนั้นฝ่ายชาตินิยมเริ่มขยายดินแดนในความควบคุมของตนได้และรุกเข้าไปทางภาคตะวันออกเพื่อตัดขาดกรุงมาดริดออกจากเมืองอื่น ๆ

ส่วนภาคเหนือรวมทั้งแคว้นบาสก์ถูกยึดครองได้ในปลายปี ค.ศ. 1937 และแนวรบทางแคว้นอารากอนก็ถูกตีแตกหลังจากนั้นไม่นานนัก เป็นไปได้ว่าการทิ้งระเบิดที่เมืองเกร์นีกา (Bombing of Guernica) ในแคว้นบาสก์โดยกองทัพอากาศเยอรมนี (ลุฟท์วัฟเฟอ) จะเป็นเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดของสงครามและเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพเขียนของปีกัสโซ ยุทธการที่แม่น้ำเอโบรระหว่างเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของฝ่ายสาธารณรัฐนิยมที่จะพลิกโฉมหน้าของสงคราม เมื่อประสบความพ่ายแพ้ในการรบครั้งนี้และเมืองบาร์เซโลนาซึ่งเป็นที่มั่นสำคัญของตนยังถูกฝ่ายชาตินิยมยึดได้อีกเมื่อต้นปี ค.ศ. 1939 ก็เป็นที่ชัดเจนว่าสงครามใกล้จะสิ้นสุดแล้ว แนวรบที่เหลือของฝ่ายสาธารณรัฐนิยมทยอยแตกลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งทางกรุงมาดริดประกาศยอมแพ้เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1939

สงครามซึ่งคร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนระหว่าง 300,000 ถึง 1,000,000 คนครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยการล้มล้างสาธารณรัฐสเปนและการขึ้นสู่อำนาจของฟรังโกในฐานะผู้เผด็จการของชาติ หลังจากสงคราม ฟรังโกได้ควบรวมพรรคการเมืองฝ่ายขวาทั้งหมดเข้าเป็นหนึ่งเดียวคือพรรคฟาลังเคและจัดโครงสร้างภายในพรรคใหม่ ให้ยุบเลิกพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย (หรือฝ่ายสาธารณรัฐนิยม) และสหภาพการค้าทั้งหมดลง นอกจากนี้ ฝ่ายสาธารณรัฐนิยมยังถูกสั่งจำคุกเป็นแสนคนและอย่างน้อย 30,000 คนถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าระหว่างปี ค.ศ. 1939-1943 ที่เหลือถูกบังคับให้ทำงานสาธารณประโยชน์หรือไม่ก็ถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศตลอดสมัยของฟรังโก

[แก้] สมัยเผด็จการของจอมพลฟรังโก

[แก้] การเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตย

[แก้] สเปนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ Ransoming Captives in Crusader Spain: The Order of Merced on the Christian-Islamic Frontier
  2. ^ The Almohads
  3. ^ ยังไม่มีความเห็นที่ตรงกันเป็นเอกฉันท์ในเรื่องขอบเขต แต่การเกิดขึ้นของเรื่องดังกล่าวนี้ไม่เป็นที่กังขาแต่อย่างใด ดูเพิ่มที่ ประวัติศาสตร์ประชากรชนพื้นเมืองอเมริกัน
  4. ^ When Europeans were slaves: Research suggests white slavery was much more common than previously believed

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น


ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์สเปน เป็นบทความเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์สเปน ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ หรือ ดูเพิ่มที่ สถานีย่อย:ประวัติศาสตร์


aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -