See also ebooksgratis.com: no banners, no cookies, totally FREE.

CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
ลัทธิทำลายรูปเคารพ - วิกิพีเดีย

ลัทธิทำลายรูปเคารพ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลิงก์ข้ามภาษาที่แทรกในบทความนี้ ผู้เขียนอาจใส่ไว้เพื่อความสะดวกสำหรับผู้อ่านและผู้ร่วมปรับปรุงแก้ไขบทความ ให้โยงไปถึงบทความที่เกี่ยวข้องในภาษาอื่นเพื่อการตรวจสอบหรืออ่านเพิ่มเติม เนื่องจากคำ หรือวลีนั้นๆ ยังไม่มีคำแปลหรือคำอธิบายที่เหมาะสมในภาษาไทย เมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ลิงก์ข้ามภาษาจะถูกตัดออกหรือเปลี่ยนเป็นข้อความที่ไม่มีลิงก์แทน ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานวิกิพีเดียไทย
รูปปั้นที่ถูกทำลายระหว่างการปฏิรูปศาสนาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่  16 ที่มหาวิหารเซนต์มาร์ตินที่อูเทรชท์ (Cathedral of Saint Martin, Utrecht)
รูปปั้นที่ถูกทำลายระหว่างการปฏิรูปศาสนาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่มหาวิหารเซนต์มาร์ตินที่อูเทรชท์ (Cathedral of Saint Martin, Utrecht)[1]

ลัทธิทำลายรูปสัญลักษณ์ หรือ ลัทธิทำลายรูปเคารพ หรือ ลัทธิการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุ หรือ ลัทธิอคติรูปสัญลักษณ์ (อังกฤษ: Iconoclasm) เป็นลัทธินิยมของการห้ามใช้รูปสัญลักษณ์ การทำลายศิลปะหรือรูปสัญลักษณ์ทางศาสนา, การทำลายสัญลักษณ์อื่นๆที่ไม่ใช่สัญลักษณ์ทางศาสนา หรือ การทำลายอนุสาวรีย์โดยจงใจภายในสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นผลจากการกระทำเพื่อศาสนา หรือ การเมือง การกระทำเช่นนี้มักจะเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาหรือทางการเมืองภายในสังคมเดียวกัน ลัทธิทำลายรูปเคารพตรงกันข้ามกับ "ลัทธิบูชารูปเคารพ" (ภาษาอังกฤษ: Iconodule)

เนื้อหา

[แก้] ที่มา

ลัทธิทำลายรูปเคารพ หรือ ลัทธิอคติรูปสัญลักษณ์ แตกต่างจากการทำลายโดยวัฒนธรรมจากภายนอกหรือจากการสงคราม เช่น การรุกรานของประเทศสเปนที่มีผลต่อการทำลายศิลปะและสิ่งก่อสร้างท้องถิ่นในอเมริกาใต้ และมิได้หมายถึงการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุของประมุขที่เพิ่งเสียชีวิตไปหรือถูกโค่นอำนาจไป เช่น ประเพณีที่ทำกันเมื่อพระเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์ในสมัยอียิปต์โบราณ หรีอ ในจักรวรรดิโรมัน

ผู้ที่ร่วมการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุหรือผู้ที่สนับสนุนลัทธินิยมในการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุเรียกกันว่า “นักทำลายรูปสัญลักษณ์” หรือ “นักทำลายรูปเคารพ” (Iconoclasts) ซึ่งความหมายแปลงมาเป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความเชื่อหรือการปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

การทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุอาจจะทำโดยผู้ที่นับถือศาสนาต่างกันแต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความแตกต่างกันทางปรัชญาทางศาสนาระหว่างลัทธิย่อยภายในศาสนาเดียวกัน ยกเว้นการแตกแยกระหว่างจักรวรรดิไบแซนไทน์สองจักรวรรดิระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 และ 9 ซึ่งมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งในความเชื่อเรื่องการบูชารูปเคารพ อันเป็นสาเหตุหลักแทนที่จะเป็นสาเหตุที่เป็นผลมาจากความขัดแย้งอื่นต้อง[ต้องการแหล่งอ้างอิง] ในคริสต์ศาสนาการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุมักจะมีผลมาจากการตีความหมายของบัญญัติ 10 ประการซึ่งห้ามการบูชา “รูปสัญลักษณ์”

ความหมายตรงกันข้ามของผู้ทำลายรูปเคารพ คือ ผู้ที่มีความเชื่อในการนับถือบูชาและสักการะรูปสัญลักษณ์หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาที่เรียกว่า “นักบูชารูปเคารพ” หรือ “นักบูชารูปสัญลักษณ์” หรือ Idolators ในสมัยไบเซนไทน์เมื่อกล่าวถึง ลัทธิบูชารูปสัญลักษณ์ หรือ ลัทธิบูชารูปเคารพ ก็จะใช้คำว่า Iconodules หรือ Iconophiles

ผลที่เราเห็น ๆ กันจากลัทธิการทำลายรูปเคารพก็จะมักจะเป็นรูปปั้นเพราะศิลปะรูปแบบอื่นคงถูกทำลายไปหมด รูปปั้นเหล่านี้ส่วนหัวจะหักไปหมด เช่น ตามอนุสาวรีย์ของโรมัน หรืออนุสาวรีย์หน้าคริสต์ศาสนสถานและรูปปั้นหรืออนุสรณ์ผู้ตายภายในวัดโดยเฉพาะที่เป็นรูปปั้นเล็ก ๆ ถ้าเป็นหัวรูปปั้นใหญ่ที่ค่อนข้างทำลายยาก นักทำลายสัญลักษณ์ก็มักจะทุบจนหักบิ่น

[แก้] การทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุครั้งสำคัญๆ

  • การทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุของศาสนสถานของจักรวรรดิโรมันที่นับถือพระเจ้าหลายองค์เมื่อจักรวรรดิโรมันเมื่อมาเปลี่ยนเป็นคริสต์ศาสนา
  • ในนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ในยุคไบเซ็นไทน์ก็มีการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุของนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์เอง
  • การทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุหลายครั้งของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งรวมทั้งการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุที่สร้างโดยผู้นับถือศาสนาอื่นๆก่อนยุคอิสลาม
  • ในยุโรประหว่างการปฏิรูปศาสนาก็มีการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุหลายครั้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างนิกายโปรเตสแตนต์และนิกายโรมันคาทอลิก ผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ก็จะทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุทั้งของนิกายโรมันคาทอลิกและของนิกายโปรเตสแตนต์เอง
  • ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็มีการทำลายสัญลักษณ์ของคริสต์ศาสนสถานและของสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เช่นวังของเจ้านาย
  • ระหว่างการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1905 ก็มีการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุทางศาสนาและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ กันอย่างแพร่หลาย
  • ระหว่างและหลังจากที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจในประเทศจีน โดยเฉพาะระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรมก็มีการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุทางศาสนาและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ กันอย่างแพร่หลายทั้งในเขตปกครองตนเองธิเบตและในบางบริเวณในประเทศจีน
  • นอกเหนือจากที่กล่าวนี้แล้วการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุเกิดขึ้นอึกหลายครั้งเช่นระหว่างการปฏิวัติชาวนา หรือ สงครามการเมืองอังกฤษ หรือ สงครามสามสิบปีในยุโรป
  • กรณีการทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ของกลุ่มตาลีบันซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองอิสลาม

[แก้] สมัยไบแซนไทน์

ความขัดแย้งกันในเรื่องความเชื่อในการทำลายรูปสัญลักษณ์ไม่จำกัดเฉพาะในกลุ่มนักบวช หรือเป็นความแตกแยกทางปรัชญาทางศาสนวิทยาเท่านั้น บางครั้งความขัดแย้งก็อาจจะเป็นผลมาจากความกลัวการรุกรานทางทหารโดยผู้นับถือศาสนาอิสลาม เป็นที่เชื่อกันว่าการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ตะวันออกและผู้ลี้ภัยที่มาจากบริเวณที่ถูกยึดครองโดยผู้นับถือศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นก็ยังได้รับอิทธิพลบางส่วนจากกองกำลังบัลคานซึ่งไม่นิยมในการบูชา “รูปสัญลักษณ์” เท่าใดนัก อิทธิพลที่ว่านี้อาจจะมีบทบาทสำคัญต่อสถาบันการปกครองในการเริ่มและการลงเอยของลัทธิการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุ

การใช้ “รูปสัญลักษณ์” แพร่หลายขี้นเป็นเวลานานก่อนที่เกิดการต่อต้าน การทำลายครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อปี ค. ศ. 695 เมื่อพระเจ้าจัสติเนียนที่ 2 ทรงโปรดให้ประทับพระพักต์พระเยซูบนหลังเหรียญกษาปณ์ทองของพระองค์ ผลจากการเปลี่ยนในทางลัทธิการทำลายไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่ที่ทราบแน่ก็คือกาหลิบAbd al-Malik ทรงแยกตัวอย่างถาวรจากการใช้เหรียญกษาปณ์ของจักรวรรดิไบแซนไทน์มาผลิตเหรียญกษาปณ์แบบอิสลามเองโดยมีแต่ตัวอักษรไม่มีภาพ[2] จดหมายจากสังฆราชเจอร์มานุส (Germanus) ซึ่งเขียนก่อนปี ค.ศ. 726 ถึงบาทหลวง 2 องค์ที่มีความเชื่อในลัทธิกล่าวว่า “ขณะนี้ทั้งเมืองและคนจำนวนมากมีความไม่พึงพอใจในกรณีนี้” แต่เราไม่ทราบว่าหัวข้อนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเท่าใด[3]

[แก้] การทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุระหว่างปี ค.ศ. 730 ถึงปี ค.ศ. 787

ระหว่างปี ค.ศ. 726 ถึงปี ค.ศ. 730 จักรพรรดิไบแซนไทน์ลีโอที่ 3 ทรงสั่งให้เอารูปของพระเยซูซึ่งตั้งอยู่อย่างเด่นชัดที่หน้าประตูชอล์ค (Chalke gate) ซึ่งเป็นประตูเมืองเอกที่ใช้เป็นทางเข้าพระราชวังคอนแสตนติโนเปิลออกและติดแทนด้วยกางเขน ผู้ที่ถูกสั่งให้เอารูปพระเยซูออกก็โดนถูกฆ่าตายโดยกลุ่มผู้ต่อต้าน[4]

[แก้] ปัญหาการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุสมัยไบแซนไทน์

เหตุผลของการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุมักจะมาจากหลักฐานข้อเขียนของ “นักบูชารูปเคารพ” เป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นการที่จะเข้าใจในเหตุผลของลัทธิการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุเราต้องเข้าใจว่า:

  • ผู้สนับสนุนลัทธิอคติรูปสัญลักษณ์ประนามการสร้างรูปสัญลักษณ์ เช่น ภาพเขียน รูปปั้น ที่มิได้ใช้แทนพระเยซู หรือ นักบุญ ของคริสต์ศาสนา เมื่อ ค.ศ. 754 ผู้สนับสนุนในการไม่ใช้รูปสัญลักษณ์ อ้างว่า [ต้องการแหล่งอ้างอิง]
ตามคัมภีร์ไบเบิล และบิดาแห่งศาสนาขอประกาศพร้อมกันในนามของพระตรีเอกภาพว่าให้มีการนำรูปสัญลักษณ์หรือสิ่งที่ทำเพื่อเป็นรูปสัญลักษณ์ที่ทำด้วยวัสดุและทาสีโดยจิตรกรที่มีความเชื่อทางร้ายออกจากวัดคริสต์ศาสนา.... ถ้าผู้ใดพยายามสร้างรูปที่ไม่ถูกต้องขอให้ผู้นั้นจงถูกสาปแช่ง.... ถ้าผู้ใดสร้างรูปสัญลักษณ์แทนนักบุญโดยใช้วัสดุหรือสีที่ไม่ควร (เพราะเป็นสิ่งที่บันดาลใจโดยผีร้าย) และไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แทนคุณความดีของผู้ที่สัญลักษณ์ตั้งใจจะให้เป็น ขอให้ผู้นั้นจงถูกสาปแช่ง
  • ผู้สนับสนุนลัทธิอคติรูปสัญลักษณ์ มีความเชื่อว่ารูปสัญลักษณ์ทางศาสนาที่แท้จริงต้องเป็นรูปที่เหมือนตัวแบบโดยแท้จริง และเป็นเนื้อและสาระเดียวกับแม่แบบ ซึ่งเป็นกรณีที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งไม้และสีเป็นสิ่งไร้ชีวิตที่ไม่สามารถใช้แทนผู้มีเลือดเนื้อได้ ฉะนั้นรูปสัญลักษณ์เดียวที่ผู้เชื่อในลัทธิยอมรับว่าเป็นรูปสัญลักษณ์ของพระเยซูได้คือศีลมหาสนิทซึ่งประกอบด้วยเหล้าไวน์และขนมปังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถือกันว่าเป็นพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซูที่แท้จริง
  • ผู้สนับสนุนลัทธิอคติรูปสัญลักษณ์ มีความเชื่อว่ารูปสัญลักษณ์ที่แท้จริงของพระเยซูต้องแสดงถึงทั้งความเป็นเทพของพระองค์(ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเห็นหรืออธิบายได้)และความเป็นมนุษย์พร้อมกันในรูปเดียว ซึ่งการสร้างรูปสัญลักษณ์ของพระเยซูที่ทำกันเป็นแยกความเป็นมนุษย์และความเป็นเทพของพระองค์ เพราะรูปสัญลักษณ์เป็นสิ่งที่ใช้แทนมนุษย์ได้เท่านั้น
  • ผู้สนับสนุนลัทธิอคติรูปสัญลักษณ์กล่าวว่ารูปสัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อศาสนาเป็นการแสดงถึงความแตกแยกจากศาสนา รูปสัญลักษณ์เป็นอิทธิพลจากซาตานซึ่งจะนำผู้นับถือคริสต์ศาสนากลับไปสู่ความเป็นคนนอกศาสนา
“ซาตานนำทางมนุษย์ในทางที่ผิด ทำให้นับถือในสิ่งชั่วร้ายที่มิใช่ผู้สร้าง กฎของโมเสสและศาสดาต่างๆ ก็บ่งให้ละทิ้งสิ่งเหล่านี้...แต่สิ่งที่ออกชื่อมาก่อนคือผู้ซึ่งเจ้าแห่งความชั่วร้าย...ก็ค่อยๆนำรูปสัญลักษณ์กลับเข้ามาในวัดในนามของคริสต์ศาสนา”[5]

ผู้ที่คัดค้านกับลัทธิการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุทางคริสต์ศาสนวิทยาคือนักบุญจอห์นแห่งดามัสกัส (John of Damascus) ผู้จำพรรษาในบริเวณที่ปกครองโดยมุสลิมและผู้เป็นที่ปรึกษาของกาหลิบแห่งดามัสกัส นักบุญจอห์นแห่งดามัสกัสอยู่ใกลจากไบแซนไทน์พอที่จะพ้นจากการถูกลงโทษของผู้สนับสนุนลัทธิอคติรูปสัญลักษณ์ อีกผู้หนึ่งคือนักบุญทีโอดอร์สตูไดท์ (Theodore the Studite) ผู้เป็นหลวงพ่ออยู่ที่สำนักสงฆ์สตูดิโอสที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล นักบุญจอห์นประกาศว่าท่านไม่ได้บูชารูปสัญลักษณ์แต่บูชาผู้สร้างรูปสัญลักษณ์ ขณะเดียวกันท่านก็กล่าวว่าท่านบูชาสิ่งที่ราวกับได้มาจากอำนาจของเทพ ซึ่งก็รวมถึงหมึกที่พระวรสารใช้เขียนและภาพเขียน ไม้ของกางเขน และพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซู

การตอบโต้ของลัทธิการบูชารูปเคารพต่อลัทธิการทำลายรูปเคารพคือ:

  • การห้ามการสร้างรูปของพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลหมดอายุเมื่อพระเยซูมาเกิดเพราะพระเยซูเป็นองค์ประกอบที่สองของพระตรีเอกภาพซึ่งเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ ฉะนั้นจึงมิได้เป็นการสร้างรูปของพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่เป็นการสร้างรูปของพระเจ้าที่ปรากฏเป็นเลือดเนี้อ การมาเกิดของพระเยซูจึงเป็นการใช้เหตุผลสนับสนุนทฤษฏีการสร้างรูปสัญลักษณ์ ซึ่งลัทธิทำลายสัญลักษณ์ก็ใช้เหตุผลเดียวกันนี้ในการไม่ควรสร้างรูปสัญลักษณ์
  • นอกจากนั้นในความคิดเห็นของลัทธิของผู้นิยมรูปสัญลักษณ์ยังกล่าวว่า “รูปต้องห้าม” (idol) เป็นสิ่งที่ไม่มีสาระและความแท้จริง ในขณะที่ “รูปสัญลักษณ์” (icon) เป็นรูปของคนจริง กล่าวง่ายๆ คือ “รูปทางศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาที่เราเชื่อคือ “รูปต้องห้าม” และรูปทางศาสนาที่เราเชื่อคือรูปสัญลักษณ์ที่ใช้ในการบูชา” ซึ่งเทียบได้กับพิธีปฏิบัติในพันธสัญญาเดิมของการเผาเครื่องบูชาแก่พระเจ้าได้เท่านั้นและปฏิบัติไม่ได้แก่พระเจ้านอกศาสนา
  • แม้จะมีข้อเขียนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการบูชารูปสัญลักษณ์ ผู้ที่สนับสนุนลัทธินิยมรูปสัญลักษณ์กล่าวว่ารูปสัญลักษณ์เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางการเล่าต่อที่มิได้บันทึกไว้ในภาษาเขียน
  • ผู้สนับสนุนลัทธินิยมรูปสัญลักษณ์ อ้างปาฏิหาริย์ของ “รูปสัญลักษณ์จากเทพ” (Acheiropoieta) เช่น รูปสัญลักษณ์ของพระแม่มารีที่กล่าวกันว่าวาดโดยตัวนักบุญลูคเอง และปาฏิหาริย์ที่เกิดเพราะรูปเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการใช้รูปสัญลักษณ์ควรจะเป็นที่ยอมรับ
  • นอกจากนั้นผู้ที่สนับสนุนลัทธินิยมรูปสัญลักษณ์ ยังกล่าวว่าการที่จะตัดสินว่าควรจะบูชารูปสัญลักษณ์หรือไม่นั้นควรจะเป็นการตัดสินอย่างเป็นทางการของสภาศาสนามิใช่เป็นการตัดสินโดยจักรพรรดิหรือนักการเมือง ฉะนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างสถาบันศาสนาและรัฐด้วย
  • ข้อย่อยอีกข้อของผู้ที่สนับสนุนลัทธินิยมรูปสัญลักษณ์คือเป็นการที่ไร้เหตุผลที่ไม่อนุญาตการบูชารูปสัญลักษณ์ของพระเจ้าแต่อนุญาตการบูชารูปของจักรพรรดิที่เป็นมนุษย์ธรรมดาได้

[แก้] ลัทธิการห้ามใช้รูปสัญลักษณ์ในศาสนาอิสลาม

สิ่งสำคัญที่ควรกล่าวเกี่ยวกับประวัติศาสนาอิสลามคือการนำ “รูปต้องห้าม” ออกจากมัสยิดฮะรอมซึ่งเป็นที่ตั้งของกะอฺบะหฺสำหรับผู้นับถือศาสนาอิสลามถือว่าเป็นเหตุการณ์สัญลักษณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม

โดยทั่วไปแล้วในศาสนาอิสลามเลี่ยงการสร้างรูปเหมือนของผู้ที่หรือสิ่งที่มีชีวิตภายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเช่นมัสยิด การห้ามการใช้รูปสัญลักษณ์มิได้มาจากคัมภีร์อัลกุรอานโดยตรงแต่มาจากประเพณีหลายประเพณีในประวัติที่เล่าต่อกันมาเกี่ยวกับมุฮัมมัด (Hadith) การห้ามใช้รูปสัญลักษณ์นี้มิได้ห้ามในที่อยู่อาศัยซึ่งจะเห็นได้จากศิลปะการสร้างรูปสัญลักษณ์ทางศิลปะอิสลาม[6]

นักเขียนทางตะวันตกมักจะกล่าวว่าการห้ามการใช้รูปสัญลักษณ์ในสังคมอิสลามเป็นวัฒนธรรมที่สร้างสมมาจากการทำลายรูปสัญลักษณ์อย่างรุนแรงมาตลอด[7] เช่นการทำลายพระพุทธรูปเมื่อปี ค.ศ. 2001 ซึ่งนักประชาสัมพันธ์ทางตะวันตกสรุปว่าเป็นผลมาจากวัฒนธรรมการต่อต้านการใช้รูปสัญลักษณ์ การสรุปเช่นนั้นเป็นการมองข้ามความอยู่ร่วมกันระหว่างพุทธศาสนิกชนและผู้นับถือศาสนาอิสลามที่มีมาร่วมพันปีก่อนที่จะเกิดการทำลาย[8] และรูปปั้นที่ถูกทำลายก็มีการพยายามทำลายมาก่อนหน้านั้นสองครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ตามความเห็นของฟลัด (Flood) เหตุผลในการการทำลายพระพุทธรูปเมื่อปี ค.ศ. 2001 เป็นเหตุผลทางการเมืองมากกว่าจะเป็นเหตุผลทางศาสนา[9]

การทำลายรูปสัญลักษณ์ครั้งแรกของมุสลิมเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 630 เมื่อมีการทำลายรูปปั้นเทพอาหรับที่ตั้งอยู่ในมัสยิดฮะรอมซึ่งเป็นที่ตั้งของกะอฺบะหฺ แต่กล่าวกันว่ามุฮัมมัดมิได้ทำลายจิตรกรรมฝาผนังของพระแม่มารี การทำลายครั้งนี้เป็นการหยุดยั้งการบูชา “รูปต้องห้าม” ซึ่งตามความเห็นของศาสนาอิสลามถือว่าเป็นการแสดงออกของความไร้การศึกษา (Jahiliyya)

การทำลายรูปสัญลักษณ์ที่เมกกะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อถือในศาสนาอื่นที่อยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมหลังจากการขยายอำนาจของกาหลิบ คริสต์ศาสนิกชนภายใต้การปกครองของมุสลิมยังคงสร้างรูปสัญลักษณ์และใช้รูปสัญลักษณ์ตกแต่งวัดหรือวิหารอย่างที่เคยเป็นมา ยกเว้นเพียงครั้งเดียวระหว่างการใช้ “กฤษฏีกายาซิด” (Edict of Yazīd) ของกาหลิบยาซิดที่สอง ระหว่างปี ค.ศ. 722 ถึงปี ค.ศ. 723 [10] ซึ่งสั่งให้ทำลายกางเขนและรูปสัญลักษณ์ทางคริสต์ศาสนาภายใต้อาณาจักรที่ขึ้นอยู่กับการปกครองโดยกาหลิบ

หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นการทำลายรูปสัญลักษณ์โดยลอกรูปออกจากพื้นโมเสกพบที่ประเทศจอร์แดน แต่การทำลายครั้งนี้ก็มิได้เกิดขึ้นทุกวัด และ “กฤษฏีกายาซิด” ก็มิได้มีการปฏิบัติต่อมาโดยผู้สืบการปกครองต่อจากกาหลิบยาซิดที่สอง ฉะนั้นการสร้างรูปสัญลักษณ์ของบริเวณตะวันออกกลางก็เป็นการหยุดยั้งเพียงชั่วคราวก่อนที่จะทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9[11]

[แก้] การทำลายรูปเคารพระหว่างการปฏิรูปศาสนาในยุโรป

ภาพแสดงให้เห็นการทำลายรูปสัญลักษณ์โดยกลุ่มคาลวินเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1566
ภาพแสดงให้เห็นการทำลายรูปสัญลักษณ์โดยกลุ่มคาลวินเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1566
รูปภาพจากค.ศ. 1563 ในหนังสือ “หนังสือของผู้พลีชีพของฟ็อกซ์” ที่แสดงให้เห็น “วัดที่ถูกล้าง” “การทำลายรูปสัญลักษณ์” และ “พระโรมันคาทอลิกเก็บของหนี”
รูปภาพจากค.ศ. 1563 ในหนังสือ “หนังสือของผู้พลีชีพของฟ็อกซ์” ที่แสดงให้เห็น “วัดที่ถูกล้าง” “การทำลายรูปสัญลักษณ์” และ “พระโรมันคาทอลิกเก็บของหนี”

นักปฏิรูปศาสนาโปรเตสแตนต์โดยเฉพาะอันเดรียส คาร์ลชตัท (Andreas Karlstadt), ฮุลดริช ซวิงลี (Huldrych Zwingli) และ จอห์น คาลวิน (John Calvin) สนับสนุนการทำลายรูปสัญลักษณ์ทางศาสนาโดยอ้างว่าบัญญัติ 10 ประการบ่งว่าห้ามการมีรูปสัญลักษณ์และการสร้างรูปพระเจ้า ซึ่งเป็นผลที่ทำให้มีการทำลายรูปสัญลักษณ์ทางศาสนา, การโจมตีผู้นิยมรูปสัญลักษณ์ และการก่อความไม่สงบต่างๆ ทั่วไปในยุโรป แต่การทำลายรูปสัญลักษณ์ทางศาสนาทั่วๆ ไปเป็นไปอย่างไม่มีการก่อความไม่สงบ

การจลาจลที่เกิดจากการทำลายรูปสัญลักษณ์เกิดขึ้นที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1523, ที่เมืองโคเปนเฮเกน เมื่อปี ค.ศ. 1530, เมืองมุนสเตอร์เมื่อปี ค.ศ. 1534, เจนีวา เมื่อปี ค.ศ. 1535, อ็อกสเบิร์ก เมื่อปี ค.ศ. 1537 และ และ สกอตแลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1559 สิบเจ็ดจังหวัดในประเทศเนเธอแลนด์และเบลเยียม และบางส่วนทางตอนเหนือของฝรั่งเศสได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีของผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์จากผู้สนับสนุนการทำลายรูปสัญลักษณ์ทางศาสนาเมื่อฤดูร้อนปี ค.ศ. 1566 การโจมตีครั้งนี้เรียกว่า “เบลเดนสตรอม” (Beeldenstorm) ซึ่งทำลายรูปปั้นภายในสำนักสงฆ์เซนต์ลอเร็นซ์ที่สตีนวูรด์ (Steenvoorde) หลังจากการเทศนากลางแปลงโดยเซบาสเตียน แม็ท (Sebastiaan Matte) และการปล้นสำนักสงฆ์เซนต์แอนโทนีหลังจากการเทศนาโดยเจคอป เดอ บุยเซีย (Jacob de Buysere) “Beeldenstorm” เป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามแปดสิบปี” เพื่อต่อต้านกองกำลังสเปนและสถาบันโรมันคาทอลิก

ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษ, บาทหลวงโจเซฟ ฮอลแห่งนอริช (Bishop Joseph Hall of Norwich) บรรยายเหตุการณ์เมื่อ ค.ศ. 1643 เมื่อกองทหารและประชาชนที่ถูกยุยงโดยรัฐสภาให้ต่อต้านความเชื่องมงายและรูปสัญลักษณ์เข้ามาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในวัดไม่ว่าจะเป็นกระจกหน้าต่าง, ผนัง, รูปอนุสรณ์, หรือเก้าอี้สวดมนต์, ทิ้งเหล็กและทองเหลืองออกจากหน้าต่าง, ทำลายรูปปั้น, ออร์แกน, ห้องแต่งตัวของพระ, เลื่อยไม้กางเขนจากธรรมาสน์ เผาหนังสือสวดมนต์ และอื่นๆ การบันทึกการทำลายเช่นนี้ทำให้เราเห็นภาพพจน์ของความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นในยุคนี้ได้อย่างชัดเจน

วิลเลียม เดาซิง (William Dowsing) ผู้เป็นนักปฏิรูปศาสนาคนสำคัญถูกจ้างโดยรัฐบาลให้ไปดูงานการทำลายรูปสัญลักษณ์ตามวัดต่างๆ ในหมู่บ้านและเมืองในบริเวณอีสท์อังเกลีย เดาซิงบันทึกการทำลายไว้ที่ยังคงอยู่คือการทำลายในบริเวณซัพฟิคและเคมบริดเชอร์[12]

ผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ไม่ทุกคนที่เห็นด้วยกับลัทธิการทำลายสัญลักษณ์ทางวัตถุของศาสนาหรือการใช้รูปสัญลักษณ์ในการสักการะบูชา มาร์ติน ลูเทอร์ผู้เป็นผู้นำในการแยกตัวจากนิกายโรมันคาทอลิกเองกล่าวว่าผู้นับถือศาสนาคริสต์ควรจะมีเสรีภาพในการบูชารูปทางศาสนาใดๆ ก็ได้ตราบที่ไม่เป็นการบูชารูปแทนพระเป็นเจ้า แต่ฮุลดริช ซวิงลีผู้พยายามอนุรักษ์คำสอนของพระเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อรูปสัญลักษณ์ทุกชนิด มาร์ติน ลูเทอร์ผู้ต้องการอนุรักษ์คำสอนเช่นกันเห็นว่างานศิลปะทุกอย่างเป็นงานที่ทำเพื่อพระวรสาร มาร์ติน ลูเทอร์นอกจากจะไม่เห็นด้วยกับการทำลายศิลปะเช่นที่ผู้มีความคิดเห็นรุนแรงต้องการจะทำแล้วยังสนับสนุนการสร้างศิลปะเพื่อศาสนาด้วย โดยเฉพาะดนตรีซึ่งลูเทอร์เห็นว่าเป็นที่สร้างขึ้นเพื่อพระเจ้าและประทานให้โดยพระเจ้า ลูเทอร์ยกตัวอย่างจากภาพของพระเจ้า, เทวดา, มนุษย์, และสัตว์ในคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะงานของนักบุญจอห์นอีแวนเจลลิส หรือหนังสือโมเสส และหนังสือโจชัว และยังเสนอให้มีภาพเขียนเหล่านี้บนผนังวัดเช่นเดียวกับคัมภีร์เพื่อเป็นความเพิ่มความเข้าใจในศาสนามากขึ้น

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ The birth and growth of Utrecht (ที่มาและความเจริญเติบโตของอูเทรชท์)
  2. ^ Robin Cormack, Writing in Gold, Byzantine Society and its Icons, 1985, George Philip, London, ISBN 054001085-5
  3. ^ C Mango, "Historical Introduction," in Bryer & Herrin, eds., Iconoclasm, pp. 2-3., 1977, Centre for Byzantine Studies, University of Birmingham, ISBN 0704402262
  4. ^ see Theophanes, Chronographia
  5. ^ Epitome, Iconoclast Council at Hieria, 754
  6. ^ F.B. Flood, "Between cult and culture: Bamiyan, Islamic iconoclasm, and the museum," The Art Bulletin 84 (2002), 643-44.
  7. ^ F.B. Flood, "Between cult and culture: Bamiyan, Islamic iconoclasm, and the museum," The Art Bulletin 84 (2002), 641.
  8. ^ F.B. Flood, "Between cult and culture: Bamiyan, Islamic iconoclasm, and the museum," The Art Bulletin 84 (2002), 654.
  9. ^ F.B. Flood, "Between cult and culture: Bamiyan, Islamic iconoclasm, and the museum," The Art Bulletin 84 (2002), 651-55.
  10. ^ A. Grabar, L'iconoclasme byzantin: le dossier archéologique (Paris, 1984), 155-56.
  11. ^ G.R.D. King, "Islam, iconoclasm, and the declaration of doctrine," Bulletin of the School of Oriental and African Studies 48 (1985), 276-7.
  12. ^ 1885 edition of the diaries of the English puritan iconoclast William Dowsing on-line from Canadian libraries

[แก้] ดูเพิ่ม

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น


aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -