แฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จอมพล แฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง (Hermann Wilhelm Göring พ.ศ. 2436 - 2489) เป็นนายทหารและนักการเมืองคนสำคัญของพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมันหรือพรรคนาซี เขามีบทบาทสำคัญในการขยายระบบเผด็จการของพรรคนาซีให้ครอบคลุมทั่วเยอรมนี รวมทั้งสร้างเสริมแสนยานุภาพทางทหารของเยอรมนีโดยเฉพาะกองทัพอากาศให้มีความแข็งแกร่ง เขาถูกศาลพิเศษพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามแห่งนูเรมเบิร์ก ตัดสินประหารชีวิต แต่เขาก็จบชีวิตตนเองด้วยยาพิษก่อนหน้าการประหารชีวิตไม่กี่ชั่วโมง
เนื้อหา |
[แก้] ชีวิตเมื่อเยาว์วัย
เกอริงเกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2436 ทีโรเซนไฮม์ แคว้นบาวาเรีย เป็นบุตรคนที่ 2 ของภรรยาคนที่ 2 ของไฮม์ริช เกอริง ซึ่งเป็นกงสุลใหญ่เยอรมันประจำเกาะเฮติ ขณะเป็นเด็กเขาไม่ได้อยู่กับบิดาแต่ได้รับเลี้ยงดูในปราสาทเล็กๆ ชื่อเฟลเดนชไตน์ (Veldenstein) ของ ริทเทอร์ ฟอน เอเพนชไตน์ แฮร์มัน ชาวยิว ซึ่งเป็นชู้รักของมารดาและเป็นพ่อทูนหัวของเขา ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 ขณะอายุ 3 ปี บิดาปลดเกษียณ ครอบครัวเกอริงจึงอยู่ร่วมกันอีกครั้งในเยอมนี
[แก้] การศึกษา
เขาเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยทหารแห่งคาลสรู์เฮอ (Karlsruhe) และเข้ารับราชการใน พ.ศ. 2455 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เขามียศเป็ยนายร้อยโททหารราบในแคว้นอัลซาช-ลอแรน (Alsace-Lorraine) ก่อนที่จะย้ายไปสังกัดกองทัพอากาศ เขาเป็นนักบินที่มีความสามารถและได้รับรางวัลปูเรอเมริต (The Pour le Merite) และเหรียญกางเขนเหล็กชั้น 1 (Iron Cross) ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดทางด้านความกล้าหาญ
[แก้] ชีวิตและบทบาทในกองทัพนาซีเยอรมัน
ในช่วงความวุ่นวายภายหลังจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนี เขารู้สึกขัดเคืองใจต่อการที่นายทหารถูกปฏิบัติย่างเลวร้ายจากพลเรือน เขาจึงไปทำงานเป็นนักบินพานิชย์ในเดนมาร์กและสวีเดน ต่อมาเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ของสายการบินสวีเดน และมีโอกาศได้พบกับบารอนเนสคาริน ฟอน โรเชิน (Baroness Carin von Rosen) สตรีผู้สูงศักดิ์ชาวสวีเดนซึ่งอย่าขาดจากสามี เขาได้แต่งงานกับบารอนเนสคารินที่นครมิวนิกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2465 ในปีเดียวกัน เขาได้ร่วมกับพรรคนาซี และเนื่องจากมีชื่อเสียงในฐานะวีรบุรุษในสงคราม ฮิตเลอร์จึงมอบหมายให้เขาบังคับบัญชาหน่วยเอสเอ (SA - Sturmabteilung หรือ Storm troopers) ซึ่งเป็นกองกำลังของพรรคนาซี
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2466 พวกนาซีได้ก่อการกบฏที่เรียกว่ากบฏมิวนิกหรือกบฏร้านเบียร์ (Munich Putch; Beer Hall Putch) ซึ่งฮิตเลอร์พยายามยึดอำนาจทั้งที่ยังไม่พร้อม การกบฏจึงล้มเหลว เขาจึงได้รับบาดเจ็บและถูกทางการสั่งจับ แต่เขาและภรรยาหนีไปออสเตรีย เขาต้องใช้มอร์ฟีนเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากบาดแผล เป็นผลให้เขากลายเป็นคนติดมอร์ฟีนอย่างรุนแรง จนต้องเข้ารับการบำบัดในช่วง พ.ศ. 2468 - 2469 ที่โรงพยาบาลจิตเวชในสวีเดน ในช่วงนี้เขาไม่มีการติดต่อที่ใกล้ชิดกับฮิตเลอร์
[แก้] ชีวิตทางการเมือง
เมื่อได้รับอภัยโทษใน พ.ศ. 2469 เขาได้เดินทางกลับเยอรมนีใน พ.ศ. 2470 ฮิตเลอร์เสนอให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาไรค์ชตาก (Reichstag) ในเขตที่พรรคนาซีมีฐานเสียงมั่นคง ทำให้เขาเป็น 1 ในสมาชิกสภาไรค์ชตากจำนวน 12 คนสังกัดพรรคนาซี เขาได้กระชับความสัมพันธ์กับนักอุตสาหกรรมและนักการเมืองอื่นๆ
ใน พ.ศ. 2473 เขาได้รับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง และเป็นผู้นำในสภาล่าง ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2475 เมื่อพรรคนาซีชนะการเลือกตั้งถึง 230 ที่นั่ง เขาได้รับเลือกเป็นประธานสภาไรค์ชตาก ความตั้งใจของเขาคือล้มล้างระบบประชาธิปไตย เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมและตำแหน่งหน้าที่เอาชนะนายกรัฐมนตรี คูร์ท ฟอน ชไลเคอร์ (Kurt von Schleicher) และฟรันซ์ ฟอน พาเพิน (Franz von Papen) พร้อมทั้งโน้มน้าวให้ประธานาธิบดีเพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก เชิญฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2476 เมื่อพรรคนาซีเถลิงอำนาจ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นทั้งมุขมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐปรัสเซีย เป็นผู้นำอันดับสองของพรรคนาซี และคาดหมายว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากฮิตเลอร์ เขาทำงานหนักเพื่อผลักดันให้บทกฎหมายที่ให้อำนาจ (Enabling Acts) ผ่านการพิจารณาของสภาไรค์ชตาก เขามุ่งสร้างเสริมอำนาจเผด็จการด้วยทำให้ปรัสเซียเป็นรัฐนาซีจัดตั้งตำรวจลับหรือเกสตาโป (Gestapo - Geheimes Staatspolizei) และให้สร้างค่ายกักกันสำหรับคุมขังศัตรู นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2476 เขายังได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบิน ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่และเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศ หน้าที่ของเขาคือสร้างเสริมกำลังทางอากาศซึ่งเป็นการขัดต่อสนธิสัญญาแวร์ซาย เขาได้สร้างเครื่องบินและฝึกนักบินอย่างลับๆ
[แก้] บทบาทในกองทัพอากาศ
ในปี พ.ศ. 2481 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นจอมพลแห่งกองทัพอากาศเยอรมนีและก่อนบุกโปแลนด์เขาได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสภาเศรษฐกิจสงคราม และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาก้เป็นผู้อำนวยการนโยบายเศรษฐกิจสงครามของประเทศ
กองทัพอากาศภายใต้การบังคับบัญชาของเขาก็ทำสงครามสาบฟ้าแลบ ซึ่งสามารถทำลายการต่อต้านของโปแลนด์ และขยายการโจมตีไปยังประเทศต่างๆในยุโรป หลังจากชัยชนะในยุทธการที่ฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2483 ฮิตเลอร์ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นจอมพลแห่งจักรวรรดิไรค์ และเป็นผู้สืบตำแหน่งของฮิตเลอร์อย่างเป็นทางการ
ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสถานการณ์ของฝ่ายเยอรมันอยู่ในขั้นวิกฤติ ในเดือนเมษายน 2488 เกอริงซึ่งอยู่ในออสเตรียพยายามรวบอำนาจขึ้นเป็นผู้นำเยอรมัน เพราะเขาเชื่อว่าฮิตเลอร์ถูกปิดล้อมอยู่ที่กรุงเบอร์ลินและหมดหนทางที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เขาเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับฝ่ายพันธมิตร แต่การกระทำดังกล่าวทำให้ฮิตเลอร์ออกคำสั่งจับเขาในฐานะผู้ทรยศ ขี้ขลาดและยอมแพ้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเยอรมนีแพ้สงครามเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 เขาก็ยอมจำนนต่อกองทัพที่ 7 ของสหรัฐอเมริกาในอีก 2 วันต่อมา
[แก้] การจบชีวิต
ในการไต่สวนคดีอาชญากรสงครามของศาลพิเศษพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามแห่งนูเนมเบิร์ก เขาได้รับการบำบัดการติดยาเสพติดและสามารถโต้แย้งข้อกล่าวหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนพัวพันใดๆ กับการกระทำที่เหี้ยมโหดของระบอบนาซี โดยอ้างว่าเป็นงานลับของฮิมม์เลอร์ อย่างไรก็ตามเขาก็ถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2489 แต่เขาก็กินยาพิษตายในห้องขังไม่กี่ชั่วโมงก่อนกำหนดการประหาร เกอริงถึงแก่กรรมขณะอายุ 53 ปี
[แก้] อ้างอิง
- ชาคริต ชุ่มวัฒนะ สารานุกรมประวัติศาสตร์ยุโรปฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่ม G-H
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
แฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง เป็นบทความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น ข้อมูลเกี่ยวกับ แฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ |