รัฐสภาฝรั่งเศส
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประเทศฝรั่งเศส |
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ: |
|
รัฐธรรมนูญ
บริหาร
ตุลาการ
นโยบายการต่างประเทศ
อื่นๆ
|
|
รัฐสภาฝรั่งเศส (Parlement français) เป็นสถาบันฝ่ายนิติบัญญัติในระบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส โดยยึดระบบสองสภา (Bicamérisme) ซึ่งประกอบไปด้วย
- สภาสูง (Chambre haute) หรือเรียกว่า วุฒิสภา (Sénat) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แทนท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม
- สภาล่าง (Chambre basse) หรือเรียกว่า สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée nationale française) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือชาวฝรั่งเศสทั้งหญิงและชาย มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามที่กฎหมายกำหนด
เนื้อหา |
[แก้] ประวัติ
ช่วงเวลา | รัฐธรรมนูญ | สภาเดี่ยว | สภาคู่ | สภาอื่น | ||
สภาสูง | สภาล่าง | สภาร่วม | ||||
2334 (ค.ศ. 1791) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2334 (Constitution de 1791) |
สภานิติบัญญัติแห่งชาติฝรั่งเศส (Assemblée nationale législative) |
— | — | — | — |
2336 (ค.ศ. 1793) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2336 (Constitution de l'an I) |
สมัชชาแห่งชาติ (Convention nationale) |
— | — | — | — |
2338 — 2342 (ค.ศ. 1795 - ค.ศ. 1799) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2338 (Constitution de l'an III) |
— | สภาอาวุโส (Conseil des Anciens) |
สภาห้าร้อย (Conseil des Cinq-Cents) |
— | — |
2342 — 2345 (ค.ศ. 1799 - ค.ศ. 1802) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2342 (Constitution de l'an VIII) |
— | วุฒิสภา (Sénat) |
องค์กรนิติบัญญัติ (Corps législatif) |
— | ทรีบูนาต์ (Tribunat) |
2345 — 2347 (ค.ศ. 1802 - ค.ศ. 1804) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2345 (Constitution de l'an X) |
— | วุฒิสภา (Sénat) |
องค์กรนิติบัญญัติ (Corps législatif) |
— | ทรีบูนาต์ (Tribunat) |
2347 — 2357 (ค.ศ. 1804 - ค.ศ. 1814) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2347 (Constitution de l'an XII) |
— | วุฒิสภา (Sénat) |
องค์กรนิติบัญญัติ (Corps législatif) |
— | — |
2357 — 2358 (ค.ศ. 1814 - ค.ศ. 1815 |
ธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2357 (Charte de 1814) |
— | สภาขุนนาง (Chambre des pairs) |
สภาผู้แทนราษฎร (Chambre des députés) |
— | — |
2358 (ค.ศ. 1815) |
พระราชกฤษฎีกาประกอบ รัฐธรรมนูญแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส (Acte additionnel aux constitutions de l’Empire) |
— | สภาขุนนาง (Chambre des pairs) |
สภาผู้แทนราษฎร (Chambre des représentants) |
— | — |
2373 — 2391 (ค.ศ. 1830 - ค.ศ. 1848) |
ธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2373 (Charte de 1830) |
— | สภาขุนนาง (Chambre des pairs) |
สภาผู้แทนราษฎร (Chambre des députés) |
— | — |
2391 — 2395 (ค.ศ. 1848 - ค.ศ. 1852) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2391 (Constitution de 1848) |
สภานิติบัญญัติแห่งชาติฝรั่งเศส (Assemblée nationale législative) |
— | — | — | — |
2395 — 2413 (ค.ศ. 1852 - ค.ศ. 1870) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2395 (Constitution de 1852) |
— | วุฒิสภา (Sénat) |
องค์กรนิติบัญญัติ (Corps législatif) |
— | สภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ (Conseil d’État) |
2414 — 2418 (ค.ศ. 1871 - ค.ศ. 1875) |
สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée nationale) |
— | — | — | — | |
2418 — 2483 (ค.ศ. 1875 - ค.ศ. 1940) |
กฎหมายรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2418 (Lois constitutionnelles de 1875) |
— | วุฒิสภา (Sénat) |
สภาผู้แทนราษฎร (Chambre des députés) |
สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée nationale) |
— |
2483 — 2487 (ค.ศ. 1940 - ค.ศ. 1944) |
กฎหมายรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2483 (Loi constitutionnelle de 1940) |
— | — | — | — | — |
2487 — 2489 (ค.ศ. 1944 - ค.ศ. 1946) |
คณะรัฐบาลเฉพาะกาล (Gouvernement provisoire) |
สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée constituante) |
— | — | — | — |
2489 — 2501 (ค.ศ. 1946 - ค.ศ. 1958) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2489 (Constitution de 1946) |
— | สภาแห่งสาธารณรัฐ (Conseil de la République) |
สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée nationale) |
รัฐสภา (Parlement) |
— |
พ.ศ. 2501 — (ค.ศ. 1958 - ) |
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส พ.ศ. 2501 (Constitution de 1958) |
— | วุฒิสภา (Sénat) |
สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée nationale) |
สภากงแกรส์ Congrès |
— |
[แก้] คุณสมบัติต่างๆ
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (Conditions de candidature et d'éligibilité) มีดังนี้
- 1. คุณสมบัติ (Eligibilité)
บุคคลสัญชาติฝรั่งเศสทั้งเพศหญิงและชายมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง นอกจากคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ยังต้องไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด
- 2. ลักษณะต้องห้าม (Inéligibilité)
-
- 2.1 ลักษณะต้องห้ามอันเกี่ยวข้องกับลักษณะบุคคล
-
-
- • อยู่ภายใต้ความคุ้มครอง การควบคุมในทางปกครอง
- • ต้องโทษมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
- • ถูกประกาศให้เป็นบุคคลล้มละลาย ถูกห้ามมิให้บริหารงานรัฐวิสาหกิจ หรือต้องสะสางบัญชีทรัพย์สินตามคำสั่งศาล
- • ไม่ได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารตามกฎหมาย
-
-
- 2.2 ลักษณะต้องห้ามอันเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่
- ผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งมีผลประโยชน์ที่อาจก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมแก่ผู้สมัครไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา กฎหมายได้ระบุถึงตำแหน่งหน้าที่ ขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ และระยะเวลาการดำรงตำแหน่งอันมีลักษณะต้องห้ามไว้ ดังนี้
-
-
- • เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินของสาธารณรัฐในทุกเขตเลือกตั้ง
- • เป็นผู้ว่าการจังหวัดซึ่งดำรงตำแหน่งในเขตเลือกตั้งนั้น หรือได้ปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี
- • ผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในเขตเลือกตั้งนั้นหรือเคยปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
- • เป็นผู้พิพากษา
- • เป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำหน้าที่บังคับบัญชาในเขตนั้น
- • เป็นข้าราชการ ผู้รับผิดชอบด้านงานบริหาร หรือการกำกับดูแลในองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรระดับภาค องค์กรระดับจังหวัดแห่งสาธารณรัฐ
-
[แก้] การขัดกันแห่งผลประโยชน์
การขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Incompatibilités)
[แก้] รูปแบบ
รูปแบบ (Formes) มี 3 รูปแบบดังนี้
-
- 1. การขัดกันแห่งผลประโยชน์กับตำแหน่งทางราชการที่มาจากการเลือกตั้ง (Incompatibilités avec les fonctions publiques électives)
- ห้ามบุคคลดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ในเวลาเดียวกัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกรัฐสภายุโรป ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ สมาชิกสภาแคว้น สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาปารีส สมาชิกสภาคอร์ซิกา สมาชิกสภาเทศบาล (จำนวนประชากรในเทศบาลต้องมีไม่ต่ำกว่า 3,500 คน)
- ในทางตรงกันข้าม สมาชิกรัฐสภาสามารถดำรงตำแหน่งทางบริหารของท้องถิ่นได้ ได้แก่ ประธานสภาภาค ประธานสภาจังหวัด และนายกเทศมนตรี
-
- 2. การขัดกันแห่งผลประโยชน์กับตำแหน่งทางราชการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (Incompatibilités avec les fonctions publiques non électives)
- สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถดำรงตำแหน่งสมาชิกในคณะรัฐบาล ตุลาการรัฐธรรมนูญ สมาชิกคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคม ผู้พิพากษา สมาชิกของคณะกรรมการตุลาการ และข้ารัฐการ (ยกเว้นอาจารย์มหาวิทยาลัย)
- อนึ่ง สมาชิกรัฐสภาสามารถปฏิบัติงานชั่วคราวที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลได้ แต่ต้องใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน
-
- 3. การขัดกันแห่งผลประโยชน์กับการทำอาชีพอื่น (Incompatibilités avec les autres activités professionnelles)
- ห้ามสมาชิกรัฐสภาทำงานในบริษัทบางประเภท เป็นผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรของรัฐ (ไม่รวมถึงเป็นกรรมการบริหาร) และบริษัทเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ รวมทั้งเป็นทนายฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาครัฐ และสมาชิกรัฐสภา
[แก้] การควบคุมและการลงโทษ
การควบคุมและการลงโทษ (Contrôle et sanctions)
สมาชิกรัฐสภาต้องส่งรายงานการดำรงตำแหน่งที่มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ต่อคณะกรรมการบริหาร (Bureau) ของสภาที่ตนสังกัดภายในระยะเวลา 2 เดือน นับแต่วันที่เข้าดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา สมาชิกที่ไม่ได้ส่งรายงานดังกล่าวจะถูกลงโทษขั้นรุนแรง คือ พ้นจากตำแหน่ง
ในกรณีที่มีข้อสงสัย คณะกรรมการบริหารจะแจ้งไปยังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (Conseil constitutionnel) และอาจรวมไปถึงผู้พิทักษ์ตราแผ่นดิน (Garde de Sceaux)[1] และสมาชิกผู้เกี่ยวข้อง ถ้าคณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ สมาชิกผู้นั้นจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหานั้นภายใน 15 วัน หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะประกาศให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากสมาชิกภาพ
ในกรณีที่สมาชิกดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง สมาชิกผู้นั้นต้องเลือกว่าจะลาออกจากตำแหน่งใด ภายในเวลา 2 เดือน
เมื่อมีการกระทำสิ่งต้องห้ามในการแก้คดีหรือในนามของสมาชิกรัฐสภา การลงโทษจะเกิดขึ้นทันที โดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะประกาศให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งโดยคำร้องขอของคณะกรรมการบริหารหรือผู้พิทักษ์ตราแผ่นดิน
[แก้] ข้อบังคับและข้อห้ามสำหรับสมาชิกรัฐสภา
ข้อบังคับและข้อห้ามสำหรับสมาชิกรัฐสภา (Obligations et interdictions qui s'appliquent aux députés)
- 1. ข้อห้ามเฉพาะ (Interdictions spécifiques) ระบุถึงการกระทำใดการกระทำหนึ่งหรือการอยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่ง ซึ่งสมาชิกรัฐสภาไม่สามารถปฏิบัติได้ การห้ามดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างคุณธรรมทางการเมือง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
-
- • เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายบริหารสัญญาว่าจะให้แก่สมาชิกรัฐสภา สมาชิกรัฐสภาต้องไม่รับเครื่องรัฐอิสริยาภรณ์หรือเหรียญตราใด ๆ ระหว่างการดำรงตำแหน่งสมาชิก
- • เพื่อมิให้เกิดความเสื่อมเสียต่อหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา สมาชิกต้องไม่ประชาสัมพันธ์ถึงคุณสมบัติของตนเอง
- • เพื่อมิให้กิจการด้านสื่อซึ่งเจ้าของกิจการดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาถืออ้างสิทธิเรื่องเอกสิทธิ์แห่งสมาชิกรัฐสภาในการหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดด้านสื่อ บริษัทนั้นต้องแต่งตั้งเจ้าของกิจการร่วมซึ่งไม่ได้รับเอกสิทธิ์แห่งสมาชิกรัฐสภา
- 2. การแสดงทรัพย์สิน (Déclaration de patrimoine) เพื่อความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ สมาชิกรัฐสภาต้องยื่นรายการแสดงทรัพย์สินต่อคณะกรรมการเพื่อความโปร่งใสทางการเงินของผู้มีอาชีพทางการเมือง (Commission pour la transparence financière de la vie politique) ภายในเวลา 2 เดือน นับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง และอย่างเร็วภายในเวลา 2 เดือน หรืออย่างช้า 1 เดือนก่อนการสิ้นสุดสมาชิกภาพ
- ในกรณีที่สมาชิกไม่ได้ยื่นรายการแสดงทรัพย์สิน คณะกรรมการดังกล่าวจะแจ้งไปยัง คณะกรรมการบริหารของสภาที่สมาชิกผู้นั้นสังกัด ซึ่งจะส่งเรื่องไปยังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา หากคณะตุลาการรัฐธรรมนูญพบว่าสมาชิกขาดคุณสมบัติจะประกาศให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากสมาชิกภาพ
- นอกจากนี้ ถ้าคณะกรรมการเห็นว่าคำชี้แจงของสมาชิกผู้นั้นไม่เหมาะสม คณะกรรมการจะส่งเรื่องดังกล่าวไปยังแผนกอัยการ
[แก้] เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน
เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน (Immunité parlementaire)
- 1. เอกสิทธิ์ (Irresponsabilité) : การฟ้องร้อง การติดตาม การจับกุม หน่วงเหนี่ยว กักขังหรือการพิจารณาคดีสมาชิกรัฐสภา เนื่องมาจากการแสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกผู้นั้นจะกระทำไม่ได้
- 2. ความคุ้มกัน (Inviolabilité) : สมาชิกรัฐสภาจะถูกจับกุมหรือถูกดำเนินมาตรการระงับหรือจำกัดเสรีภาพในคดีอาญา ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการบริหารของสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก ยกเว้นในกรณีความผิดอุกฤษโทษ (Crime : เป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต) หรือความผิดซึ่งหน้า หรือการพิจารณาลงโทษอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ในระหว่างสมัยประชุม สภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกสามารถร้องขอมิให้คุมขัง กระทำการที่ทำให้สูญสิ้นหรือจำกัดอิสรภาพ หรือดำเนินคดีกับสมาชิกรัฐสภาผู้นั้น
[แก้] ค่าตอบแทนของสมาชิกรัฐสภา
ค่าตอบแทนของสมาชิกรัฐสภา (Indemnité parlementaire)
- ค่าตอบแทนแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
-
- • ค่าตอบแทนขั้นพื้นฐาน (Indemnité parlementaire de base) กำหนดโดยการอ้างอิงกับเงินเดือนข้าราชการระดับสูงของรัฐ สมาชิกรัฐสภาจะได้รับเงินเป็นจำนวน 5,400.32 ยูโร
- • ค่าตอบแทนด้านที่พักอาศัย (Indemnité de résidence) สมาชิกรัฐสภาได้รับเงินค่าที่พักอาศัยคิดเป็นร้อยละ 3 ของค่าตอบแทนขั้นพื้นฐาน หรือคิดเป็นเงิน 162.01 ยูโร
- • ค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ (Indemnité de fonction) สมาชิกรัฐสภาได้รับเงินค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่คิดเป็นร้อยละ 25 ของค่าตอบแทนขั้นพื้นฐาน หรือคิดเป็นเงิน 1,390.58 ยูโร
[แก้] สมัยประชุมของรัฐสภา
สมัยประชุมของรัฐสภา (Session) สามารถแบ่งได้เป็น 2 สมัย ได้แก่
-
- 1. สมัยประชุมสามัญ (Session ordinaire)
- สมัยประชุมสามัญประจำปี (Session ordinaire annuelle) จะเริ่มในวันทำการแรกของเดือนตุลาคม และสิ้นสุดในวันทำการสุดท้ายของเดือนมิถุนายน มีระยะเวลา 9 เดือน อย่างไรก็ตาม รัฐสภาไม่ได้ทำการประชุมตลอดเวลา 9 เดือน แต่จะประชุมเฉพาะในช่วงสัปดาห์ประชุม (Semaines de séances) ซึ่งกำหนดโดยแต่ละสภาเอง และจะต้องมีวันประชุมไม่เกิน 120 วัน
-
- 2. สมัยประชุมวิสามัญ (Session extraordinaire)
- รัฐสภาสามารถเปิดการประชุมสมัยวิสามัญได้ตามคำร้องขอของนายกรัฐมนตรี หรือตามมติเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการเปิดและปิดสมัยประชุมวิสามัญจะกระทำโดยรัฐกฤษฎีกา
[แก้] อำนาจหน้าที่
อำนาจหน้าที่ (Pouvoirs et attributions) มีดังนี้
[แก้] ด้านนิติบัญญัติ
ด้านนิติบัญญัติ (Pouvoir législatif)
[แก้] ประเภทของกฎหมาย
ประเภทของกฎหมาย (Catégories de lois) มี 3 ประเภทดังนี้
- 1. กฎหมายที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา (Lois votées par le Parlement)
-
- 1.1 กฎหมายทั่วไป (Lois ordinaires) : กฎหมายคือข้อความเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาและประกาศใช้บังคับโดยประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ หรืออาจจะเป็นโดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ข้อความดังกล่าวกำหนดกฎเกณฑ์ในประเด็นเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
-
-
- • สิทธิพลเมืองและหลักประกันพื้นฐานสำหรับพลเมืองในการใช้เสรีภาพ ตลอดจนการเกณฑ์แรงงานและทรัพย์สินเพื่อการป้องกันประเทศ
- • สัญชาติ สถานะและความสามารถทางกฎหมายของบุคคล ระบบกฎหมายว่าด้วยการสมรส การสืบมรดกและการให้โดยเสน่หา
- • การกำหนดความผิดอาญาขั้นอุกฤษโทษและมัชฌิมโทษ[2] รวมทั้งการกำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าว วิธีพิจารณาความอาญา การนิรโทษกรรม การจัดตั้งระบบศาลขึ้นใหม่และสถานภาพของผู้พิพากษา
- • ฐานภาษี อัตราและการจัดเก็บภาษีทุกประเภท การออกใช้เงินตรา
- • ระบบการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและสมาชิกสภาท้องถิ่น
- • การจัดตั้งประเภทขององค์กรภาครัฐขึ้นใหม่
- • หลักประกันขั้นพื้นฐานสำหรับข้ารัฐการพลเรือนและข้ารัฐการทหาร
- • การโอนบริษัทเอกชนมาเป็นของรัฐและการโอนทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจไปเป็นของบริษัทเอกชน
- นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดหลักการพื้นฐานในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- • การจัดระเบียบกองทัพ
- • การบริหารจัดการที่เป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งอำนาจหน้าที่และรายได้
- • การศึกษา
- • การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
- • ระบบกรรมสิทธิ์ ทรัพยสิทธิและข้อผูกพันทางแพ่งและพาณิชย์
- • กฎหมายแรงงาน กฎหมายว่าด้วยสหภาพแรงงานและการประกันสังคม
-
-
- 1.2 กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Lois constitutionnelles) : การริเริ่มให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีและของสมาชิกรัฐสภา ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภาในเนื้อความเดียวกัน และต้องผ่านการลงประชามติของประชาชน ในกรณีที่ประธานาธิบดีได้พิจารณาแล้วเห็นว่าจะไม่นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาให้ประชาชนลงประชามติ ร่างดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา (Congrès) ด้วยคะแนนเสียง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกที่ออกเสียง
-
- 1.3 กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (Lois organiques) : สภาที่ได้รับร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นสภาแรกต้องทำการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวภายหลังผ่านพ้นระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่าง ซึ่งร่างกฎหมายจะต้องไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่ทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ทั้ง 2 สภามีความเห็นไม่ตรงกัน ร่างดังกล่าวจะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ความเห็นชอบในวาระสุดท้ายด้วยคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด ส่วนร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวุฒิสภาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภาในเนื้อความเดียวกัน
อนึ่ง ร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการประกาศใช้บังคับก็ต่อเมื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ประกาศว่าร่างกฎหมายดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
-
- 1.4 กฎหมายงบประมาณ (Lois de finances) : ร่างกฎหมายงบประมาณจะต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน โดยรัฐสภามีเวลาในการพิจารณา 70 วัน (40 วันสำหรับการพิจารณาวาระที่ 1 ของสภาผู้แทนราษฎรและ 20 วัน สำหรับการพิจารณาวาระที่ 1 ของวุฒิสภา) หากรัฐสภาพิจารณาไม่เสร็จภายในเวลาดังกล่าว ร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกประกาศใช้บังคับโดยรัฐกำหนด
แต่ละสภาจะทำการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณเพียงวาระเดียว จากนั้นรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาในส่วนที่ทั้ง 2 สภายังมีความเห็นไม่ตรงกัน
-
- 1.5 กฎหมายเกี่ยวด้วยการเงินด้านสวัสดิการสังคม (Lois de financement de la sécurité sociale) : ร่างกฎหมายนี้ต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน รัฐสภามีเวลาในการพิจารณา 50 วัน (20 วันสำหรับการพิจารณาวาระที่ 1 ของสภาผู้แทนราษฎรและ 15 วัน สำหรับการพิจารณาวาระที่ 1 ของวุฒิสภา) หากรัฐสภาพิจารณาไม่เสร็จภายในเวลาดังกล่าว ร่างกฎหมายนี้จะถูกบังคับใช้โดยรัฐกำหนด
-
- 1.7 กฎหมายอนุมัติการให้สัตยาบันสนธิสัญญา (Lois autorisant la ratification des traités) : ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจะให้สัตยาบันสนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่มีความสำคัญได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายอนุมัติการให้สัตยาบันได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา สนธิสัญญาหรือข้อตกลงดังกล่าว หมายถึง สนธิสัญญาสงบศึก สนธิสัญญาการค้า สนธิสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศ สนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่มีข้อผูกพันต่องบประมาณของรัฐ สนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่มีเนื้อหาแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่มีสถานภาพเป็นกฎหมาย สนธิสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสถานภาพของบุคคล และสนธิสัญญาและข้อตกลงเกี่ยวกับการยกให้ การแลกเปลี่ยนหรือการผนวกดินแดน
-
- ในการพิจารณาของสภานั้นจะไม่มีการลงมติเนื้อหาของสนธิสัญญาหรือข้อตกลง และจะเสนอการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาของสนธิสัญญาไม่ได้ สภาจะลงมติให้ความเห็นชอบ หรือไม่ให้ความเห็นชอบ หรือให้เลื่อนการพิจารณา (Ajournement)
-
- หากคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้รับแจ้งจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 60 คน หรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 60 คน พบว่าข้อผูกพันระหว่างประเทศมีข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การอนุมัติการให้สัตยาบันหรือการให้ความเห็นชอบข้อผูกพันระหว่างประเทศที่เกิดปัญหาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น
- 2. กฎหมายที่ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบรัฐสภา : กฎหมายที่ต้องมีการออกเสียงลงประชามติ (Lois référendaires)
- ร่างกฎหมายที่จะต้องมีการออกเสียงลงประชามติจะต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดระเบียบภาครัฐ การปฏิรูปนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมของชาติ หรือเพื่อการอนุมัติสนธิสัญญาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของสถาบันต่าง ๆ และไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
- 3. กรณีเฉพาะของกฎหมายมอบอำนาจให้ตรารัฐกำหนด (Lois d'habilitation)
- รัฐบาลสามารถร้องขอต่อรัฐสภาในการอนุมัติการตรารัฐกำหนดในเรื่องซึ่งปกติแล้วอยู่ในอำนาจการตรากฎหมายของรัฐสภา การอนุมัติจะทำเป็นกฎหมายที่ระบุระยะเวลาของการมอบอำนาจให้ตรารัฐกำหนด วัตถุประสงค์ และขอบเขตในการดำเนินการ
รัฐกำหนดจะตราขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี ภายหลังจากที่ได้รับข้อเสนอแนะจากสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ (Conseil d’Etat)[3] และมีผลใช้บังคับตั้งแต่การประกาศในรัฐกิจจานุเบกษา (Journal official) ซึ่งรัฐกำหนดจะใช้ไม่ได้ถ้าไม่มีการเสนอร่างกฎหมายสัตยาบันต่อรัฐสภาก่อนวันที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายมอบอำนาจให้ตรารัฐกำหนด เมื่อพ้นเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายมอบอำนาจให้ตรารัฐกำหนดซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว จะสามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐกำหนดในประเด็นที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายก็โดยแต่กฎหมายเท่านั้น
[แก้] กระบวนการนิติบัญญัติ
กระบวนการนิติบัญญัติของฝรั่งเศส (Procédure législative) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ การเสนอร่างกฎหมาย การพิจารณาของรัฐสภา และการประกาศใช้บังคับกฎหมายโดยประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ
- 1. การเสนอร่างกฎหมาย (Dépôt du texte) ผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย คือ นายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา โดยร่างกฎหมายที่เสนอโดยนายกรัฐมนตรี เรียกว่า "projet de loi" ส่วนร่างที่เสนอโดยสมาชิกรัฐสภาจะเรียกว่า "proposition de loi"
- ก่อนการพิจารณา ร่างกฎหมายจะต้องเข้าสู่กระบวนการเสนอร่างกฎหมาย ดังนี้
-
- • ร่างกฎหมายที่เสนอโดยรัฐบาลจะต้องส่งไปยังสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ ในฐานะที่ปรึกษาของรัฐบาลเพื่อพิจารณาให้ความเห็น และส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนเสนอเข้าสู่สภา
- • ร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา ต้องไม่ทำให้รายได้ของรัฐลดลงหรือเพิ่มรายจ่ายของรัฐ โดยคณะกรรมการบริหาร (Bureau) ของแต่ละสภาจะเป็นผู้พิจารณาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
- ร่างกฎหมายการคลังและร่างกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงินด้านสวัสดิการสังคม ต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาก่อน แต่ถ้าเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเป็นผู้แทนของชาวฝรั่งเศสที่อยู่นอกประเทศต้องเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาก่อน ส่วนร่างกฎหมายที่ไม่มีลักษณะข้างต้นจะถูกเสนอต่อสภาของผู้ร่างเป็นอันดับแรก อนึ่ง ร่างกฎหมายประกอบด้วย 2 ส่วน กล่าวคือ
-
- • คำแถลงเหตุผล (Exposé des motifs)
- • ตัวบทกฎหมาย (Dispositif)
- 2. การส่งไป-มา ระหว่าง 2 สภา (Navette) ร่างกฎหมายต้องผ่านการพิจารณาจากทั้งสองสภาเพื่อให้ทั้งสองสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาเดียวกัน และเมื่อร่างกฎหมายได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภาแล้วจะถือว่าได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
-
- กระบวนการที่จะทำให้เกิดความเห็นชอบของรัฐสภา คือ การส่งร่างกฎหมายไป-มา ระหว่าง 2 สภา โดยแต่ละสภาจะพิจารณาและแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากอีกสภาหนึ่ง โดยจะพิจารณาเพียงมาตราที่ทั้งสองสภามีความเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น การส่งไป-มาจะสิ้นสุดลง เมื่อสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากอีกสภาหนึ่งแล้วโดยไม่มีการแก้ไข ซึ่งการพิจารณาแต่ละครั้งของสภาจะเรียกว่า "วาระ" (lecture)
-
- 2.1 การพิจารณาในวาระที่ 1 (Examen en première lecture)
-
- การพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอต่อสภามีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ การบรรจุระเบียบวาระการประชุม และการพิจารณาในที่ประชุมสภา หลังจากนั้นร่างกฎหมายจะถูกส่งไปยังอีกสภาหนึ่ง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการส่งไป-มา
-
- • การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (Examen en commission)
-
-
- เมื่อมีการเสนอร่างกฎหมายต่อสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะส่งร่างดังกล่าวไปยังคณะกรรมาธิการโดยพิจารณาจากอำนาจหน้าที่ของแต่ละคณะ ซึ่งอาจจะเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ (Commission spéciale) ที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว แต่โดยมากแล้วคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา (Commission permanente) คณะใดคณะหนึ่งจะเป็นผู้พิจารณา โดยคณะกรรมาธิการจะแต่งตั้งผู้นำเสนอรายงาน (Rapporteur) เพื่อทำหน้าที่เสนอรายงานในนามของคณะกรรมาธิการ
-
-
- สรุปผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการจะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของร่างกฎหมาย ดังนี้
-
- • รายงานการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยรัฐบาลซึ่งอีกสภาหนึ่งได้พิจารณาแล้ว หรือร่างกฎหมายทั้งที่เสนอโดยรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภา ซึ่งส่งมาจากอีกสภาหนึ่งหลังจากให้ความเห็นชอบโดยมีการแก้ไขหรือไม่แก้ไข หรือไม่ให้ความเห็นชอบ
- • สำหรับการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภานั้น คณะกรรมาธิการจะสรุปจากตัวร่างทั้งหมดตามรูปแบบที่จะพิจารณาในที่ประชุมสภา
- • การบรรจุระเบียบวาระการประชุม (Inscription à l’ordre du jour)
-
- เพื่อให้มีการพิจารณาในที่ประชุมสภา จะต้องมีการบรรจุร่างกฎหมายเข้าระเบียบวาระการประชุม
-
- • การพิจารณาในที่ประชุมสภา (Examen en séance publique) แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้
-
-
- • การพิจารณาทั่วไป (Phase d'examen général) : เป็นขั้นตอนการนำเสนอร่างกฎหมาย โดยเริ่มจากการอภิปรายของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ต่อด้วยผู้นำเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการ แต่ในกรณีที่เป็นร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา ผู้นำเสนอรายงานจะเป็นผู้เริ่มอภิปราย
- • การพิจารณารายละเอียด (Phase d'examen détaillé)
-
-
- • การพิจารณารายมาตรา (Examen des articles) : ที่ประชุมจะทำการพิจารณาเรียงตามลำดับมาตราเพื่อพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมหรือคำแปรญัตติที่ได้เสนอไว้ โดยสมาชิกผู้เสนอการแก้ไขเพิ่มเติมหรือคำแปรญัตติจะชี้แจงต่อที่ประชุม เมื่อเสร็จสิ้นการชี้แจงและการอภิปรายแล้ว ที่ประชุมจะดำเนินการลงมติ
-
- • เมื่อพิจารณาการแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมเสร็จแล้ว สภาจะลงมติเนื้อหามาตราตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมไว้ทีละมาตราจนจบร่าง ซึ่งในช่วงนี้ รัฐบาลหรือคณะกรรมาธิการมีสิทธิร้องขอให้มีการพิจารณาร่างเป็นครั้งที่ 2 โดยอาจจะพิจารณาทั้งร่างหรือบางส่วนก็ได้ จากนั้นประธานในที่ประชุมจะสั่งให้ลงมติร่างกฎหมายซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมแล้วทั้งร่าง
-
- 2.2 การส่งร่างกฎหมายและการพิจารณาในวาระต่อไป (Transmission et lectures successives)
-
- เมื่อสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายแล้ว ร่างกฎหมายจะถูกส่งไปยังอีกสภาเพื่อพิจารณา ถ้าหากสภาที่ 2 มีมติให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายโดยไม่มีการแก้ไข ก็จะถือว่าร่างกฎหมายได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ในกรณีตรงกันข้าม สภาที่ 2 มีมติไม่ให้ความเห็นชอบ ก็จะเกิดกระบวนการส่งไป-มาระหว่าง 2 สภา ตั้งแต่การพิจารณาในวาระที่ 2 จะเป็นการพิจารณามาตราที่ทั้ง 2 สภามีความเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น การส่งไป-มา จะดำเนินไปเรื่อย ๆ ในวาระที่ 2 วาระที่ 3 จนถึงวาระที่ 40 หรือมากกว่านั้น ตราบเท่าที่ยังมีมาตราที่ทั้ง 2 สภา มีความเห็นไม่ตรงกันอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับปี 1958 ได้กำหนดให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยซึ่งช่วยให้รัฐบาลสามารถเร่งการให้ความเห็นชอบของรัฐสภาได้โดยการทำให้การส่งไป-มาสิ้นสุดลง
- 3. กระบวนการไกล่เกลี่ย : คณะกรรมาธิการร่วมกัน (Procédure de conciliation : Commission mixte paritaire) ภายหลังการพิจารณาในวาระที่ 2 ของแต่ละสภา หรือในวาระที่ 1 ในกรณีที่รัฐบาลแจ้งว่าเป็นเรื่องด่วน กระบวนการไกล่เกลี่ยจะเกิดขึ้น โดยการประชุมของคณะกรรมาธิการร่วมกัน (Commission mixte paritaire : CMP) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 7 คน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 7 คน
- คณะกรรมาธิการร่วมกันจะแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร (Bureau) ประกอบด้วย ประธาน (โดยธรรมเนียมแล้ว จะเป็นประธานของคณะกรรมาธิการซึ่งพิจารณาร่างกฎหมายของสภาที่ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกัน) รองประธาน (ซึ่งเป็นประธานของคณะกรรมาธิการซึ่งพิจารณาร่างกฎหมายของอีกสภา) และผู้นำเสนอรายงาน 2 คน โดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน และสมาชิกวุฒิสภา 1 คน (โดยปกติแล้วมักจะเป็นผู้นำเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการซึ่งพิจารณาร่างกฎหมายของแต่ละสภา)
- ในการพิจารณา คณะกรรมาธิการร่วมกันจะหาข้อไกล่เกลี่ยในทุกมาตราที่ยังมีปัญหาซึ่งคณะสามารถนำร่างมาตราที่สภาใดสภาหนึ่งให้ความเห็นชอบแล้วมาพิจารณา หรือยกร่างมาตราใหม่ก็ได้ หลังจากพิจารณาเสร็จแล้ว คณะกรรมาธิการร่วมกันจะจัดทำรายงาน ซึ่งแสดงร่างมาตราที่คณะได้ยกร่างและให้ความเห็นชอบแล้ว หรือในกรณีตรงกันข้าม แสดงเหตุผลของความไม่สำเร็จของการไกล่เกลี่ย
- ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วมกันมีหลายรูปแบบ ดังนี้
-
- • คณะกรรมาธิการร่วมกันสามารถจัดทำร่างที่ทั้ง 2 สภายอมรับได้
- หากแต่ละสภาให้ความเห็นชอบร่างของคณะกรรมาธิการร่วมกันที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเหมือนกันแล้ว เท่ากับว่ากระบวนการไกล่เกลี่ยประสบความสำเร็จ และร่างกฎหมายได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
-
- • ความล้มเหลวของกระบวนการไกล่เกลี่ย : สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ชี้ขาด
- ถ้าร่างของคณะกรรมาธิการร่วมกันไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาใดสภาหนึ่ง หรือถ้าคำแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมร่างของคณะกรรมาธิการร่วมกันที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาหนึ่ง แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากอีกสภาหนึ่ง เท่ากับว่าเกิดความล้มเหลวของกระบวนการไกล่เกลี่ย ความล้มเหลวนี้หมายรวมถึงการที่คณะกรรมาธิการร่วมกันไม่สามารถจัดทำร่างกฎหมายเพื่อให้ทั้ง 2 สภาพิจารณาได้ ในกรณีล้มเหลว รัฐบาลสามารถร้องขอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติชี้ขาดได้
- กระบวนการดังกล่าวมี 3 ขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ วาระการพิจารณาครั้งใหม่ของสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาครั้งใหม่ของวุฒิสภา และวาระการพิจารณาชี้ขาดของสภาผู้แทนราษฎร
- ในวาระการพิจารณาครั้งใหม่ สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างสุดท้ายที่สภาได้ให้ความเห็นชอบก่อนกระบวนการไกล่เกลี่ย ในกรณีร่างที่เสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาเป็นสภาแรก สภาผู้แทนราษฎรจะนำร่างที่วุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้วมาพิจารณาอีกครั้ง ร่างกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจะถูกส่งไปวุฒิสภาเพื่อพิจารณา ถ้าวุฒิสภาให้ความเห็นชอบโดยไม่มีการแก้ไขเท่ากับว่าร่างกฎหมายได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ในกรณีตรงกันข้าม ร่างกฎหมายจะถูกส่งไปสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาชี้ขาด
- ในการพิจารณาชี้ขาด สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติเสียงข้างมากให้กับร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการร่วมกัน (ถ้ามี) หรือร่างสุดท้ายที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบไปในวาระการพิจารณาครั้งใหม่ ในกรณีหลัง สภาสามารถให้ความเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบในวาระการพิจารณาครั้งใหม่เท่านั้น
- 4. การบล็อกโหวต (Vote bloqué)
- การบล็อกโหวต เป็นกระบวนการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ รัฐบาลสามารถร้องขอต่อสภาใดสภาหนึ่งให้ทำการลงมติร่างกฎหมายทั้งร่างหรือเพียงบางส่วนเพียงครั้งเดียว โดยยึดเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมที่รัฐบาลเสนอหรือให้ความเห็นชอบเท่านั้น
- รัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจอย่างมากในการใช้กระบวนการนี้ กล่าวคือ รัฐบาลมีอิสระในการเลือกเวลาที่จะใช้กระบวนการนี้ รัฐบาลเป็นผู้กำหนดร่างที่จะให้ลงมติเพียงครั้งเดียว ซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมาย (1 มาตราหรือหลายมาตรา) หรือทั้งร่าง อีกทั้งรัฐบาลยังเป็นผู้ตัดสินว่าจะให้
ยึดการแก้ไขเพิ่มเติมใด
- วัตถุประสงค์ของการใช้กระบวนการนี้ คือ เพื่อตัดขั้นตอนการลงมติการแก้ไขเพิ่มเติมและมาตราที่มีการแก้ไข แต่กระบวนการนี้ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการอภิปรายในทุกมาตราและการแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมที่ได้รายงานไว้ รวมไปถึงคำแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมที่รัฐบาลได้เลือกไว้
- 5. การประกาศใช้บังคับกฎหมาย (Promulgation de la loi)
-
- 5.1 การประกาศใช้บังคับ (Promulgation)
-
- ตามหลักการแล้ว เมื่อร่างกฎหมายได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ขั้นตอนทางรัฐสภาในกระบวนการพิจารณากฎหมายก็เสร็จสิ้นลง และเป็นการเริ่มต้นขั้นตอนการประกาศใช้บังคับกฎหมาย
-
- ร่างกฎหมายที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วจะถูกส่งไปยังรัฐบาลซึ่งจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวไปยังประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐที่มีอำนาจในการประกาศใช้บังคับกฎหมายเพื่อลงนาม ประธานาธิบดีต้องประกาศใช้บังคับกฎหมายภายในเวลา 15 วัน จากนั้นกฎหมายจะถูกประกาศในรัฐกิจจานุเบกษา (Journal officiel) แห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
-
- อย่างไรก็ตาม การประกาศใช้บังคับกฎหมายอาจล่าช้าหรือเกิดปัญหาติดขัดได้ใน 2 กรณี คือ การควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (Constitutionalité) และการพิจารณากฎหมายครั้งใหม่
-
- 5.2 ผลของการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (Effets du contrôle de constitutionnalité)
-
- คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (Conseil constitutionnel) มีหน้าที่ในการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว
-
-
- • การวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (Saisine du Conseil constitutionnel)
-
-
- การควบคุมนี้จะใช้กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (Lois organiques) ส่วนกฎหมายทั่วไปจะใช้วิธีนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีการร้องขอจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 60 คนหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 60 คน
-
- กระบวนการประกาศใช้บังคับกฎหมายจะหยุดลงเมื่อมีการวินิจฉัยดังกล่าวเกิดขึ้น คณะตุลาการรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้เสร็จภายใน 1 เดือน หรือ 1 สัปดาห์ ในกรณีที่รัฐบาลร้องขอ
-
-
- • ผลการวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (Effets des décisions du Conseil constitutionnel)
-
-
- เมื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญประกาศว่ากฎหมายฉบับนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงสามารถประกาศใช้บังคับกฎหมายได้
-
- ในทางตรงกันข้าม คำวินิจฉัยที่ประกาศว่าร่างกฎหมายทั้งร่างขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคต่อการประกาศใช้บังคับ วิธีแก้ปัญหาวิธีเดียว คือ การกลับไปเริ่มต้นการพิจารณาใหม่ ยกเว้นกรณีที่หลักการของความไม่สอดคล้องนั้นก่อให้เกิดอุปสรรคที่ยอมรับได้ เช่น การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการล่วงหน้า เป็นต้น
-
- อนึ่ง คณะตุลาการรัฐธรรมนูญสามารถวินิจฉัยว่ากฎหมายชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพียงบางส่วนได้ ในกรณีนี้ กฎหมายจะถูกประกาศใช้ โดยยกเว้นส่วนที่ประกาศว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
-
- 5.3 การพิจารณาครั้งใหม่ ซึ่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเป็นผู้ร้องขอ (Nouvelle délibération demandée par le Président de la République)
-
- ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสามารถร้องขอต่อรัฐสภาให้มีการพิจารณาใหม่ก่อนพ้นกำหนด 15 วันในการประกาศใช้บังคับกฎหมาย ซึ่งต้องประกาศเป็นรัฐกฤษฎีกาและมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับคำสั่ง
[แก้] ด้านการควบคุมรัฐบาล
ด้านการควบคุมรัฐบาล (Pouvoir de contrôle) มีวิธีการ 7 วิธีดังนี้
- 1. การตั้งกระทู้ถาม (Questions) สมาชิกรัฐสภาสามารถตั้งกระทู้ถามรัฐบาลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยมีรูปแบบดังนี้
-
- 1.1 กระทู้ถามที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Questions écrites)
-
- สมาชิกรัฐสภาสามารถตั้งกระทู้ถามที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อถามรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเป็นรายบุคคล โดยในการตั้งกระทู้นั้น สมาชิกผู้นั้นต้องเสนอกระทู้ต่อประธานสภาเพื่อแจ้งไปยังรัฐบาล ซึ่งกระทู้ถามที่เป็นลายลักษณ์อักษรจะได้รับการประกาศในส่วนพิเศษของรัฐกิจจานุเบกษา และรัฐมนตรีต้องตอบในรัฐกิจจานุเบกษาภายในเวลา 2 เดือน นับแต่วันที่กระทู้ถามได้รับการประกาศในรัฐกิจจานุเบกษา
-
- 1.2 กระทู้ถามด้วยวาจา (Questions orales)
-
- สมาชิกรัฐสภาสามารถตั้งกระทู้ถามด้วยวาจาเพื่อถามรัฐมนตรี โดยในการตั้งกระทู้นั้น สมาชิกต้องเสนอต่อประธานสภาที่สมาชิกผู้นั้นสังกัดเพื่อแจ้งไปยังรัฐบาล อนึ่ง แต่ละสภาจะดำเนินการพิจารณากระทู้ถามด้วยวาจาตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้ของแต่ละสภา
-
- 1.3 กระทู้ถามสดเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน (Questions d'actualité au gouvernement)
-
- สมาชิกสามารถตั้งกระทู้ถามสดถามรัฐบาลเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศฝรั่งเศสและต่างประเทศได้ โดยในการตั้งกระทู้ถามสดนั้น รัฐบาลจะไม่ได้รับทราบเนื้อหาของกระทู้ จะได้รับทราบเพียงชื่อของผู้ตั้งกระทู้ถามเท่านั้น
- 2. การรับฟังข้อมูล (Auditions) คณะกรรมาธิการสามัญ (หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญ) สามารถเรียกบุคคลมาชี้แจง โดยผู้ไม่ไปชี้แจงจะถูกปรับ 7,500 ยูโร เป็นการลงโทษ
- 3. คณะทำงานด้านข้อมูล (Missions d'information) คณะกรรมาธิการสามัญสามารถจัดตั้งคณะทำงานด้านข้อมูลเพื่อทำหน้าที่หาข้อมูลในด้านต่าง ๆ และจัดทำรายงานด้านข้อมูล (Rapports d'information) เสนอต่อคณะกรรมาธิการ
- 4. การตั้งคณะกรรมาธิการสอบสวน (Commission d'enquête) การตั้งคณะกรรมาธิการสอบสวนเป็นวิธีการควบคุมการทำงานของรัฐบาลวิธีหนึ่งของสภาซึ่งคณะกรรมาธิการสอบสวนนี้จะช่วยให้สมาชิกในคณะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐและเหตุการณ์ที่มีความสำคัญ โดยหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจะสิ้นสุดลงเมื่อได้นำเสนอรายงาน หรืออย่างช้าที่สุดเมื่อพ้นระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่มีมติตั้ง
- 5. การควบคุมงบประมาณ (Contrôle budgétaire) คณะกรรมาธิการการคลังของแต่ละสภามีหน้าที่ในการติดตามและควบคุมการบังคับใช้กฎหมายทางการคลังและประเมินผลทางด้านการคลังสาธารณะโดยมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน กล่าวคือ การควบคุมด้านสถานที่ สิทธิในการได้รับเอกสารข้อมูล (การควบคุมด้านเอกสาร) และอำนาจในการรับฟังข้อมูลจากบุคคลที่เห็นว่าจำเป็น
- 6. การควบคุมการบังคับใช้กฎหมาย (Contrôle de l'application des lois) คณะกรรมาธิการสามัญแต่ละคณะของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสามารถทำการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะ
- 7. งานด้านการประเมินผลและการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ (Travaux d'évaluation et d'expertise)
-
- 7.1 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science et technologie)
-
- หน่วยงานประเมินผลของทางเลือกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัฐสภา (Office parlementaire d'évaluation des choix scientifiques et technologiques : OPECST) มีภารกิจในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลของทางเลือกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่รัฐสภาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้ไปตามภารกิจดังกล่าว หน่วยงานจะรวบรวมข้อมูลดำเนินการตามแผนการพิจารณาและทำการประเมินผล
-
- หน่วยงานนี้ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 18 คน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 18 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่มการเมืองตามสัดส่วน ผู้ที่สามารถเสนอให้ตั้งหน่วยงานนี้ได้คือ คณะกรรมการบริหาร คณะกรรมาธิการ (ทั้งสามัญและวิสามัญ) ของสภาใดสภาหนึ่ง ประธานกลุ่มการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 60 คน หรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คน
-
- 7.2 ด้านสาธารณสุข (Santé)
-
- หน่วยงานนี้ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 24 คน โดยเป็นประธานของคณะกรรมาธิการที่รับผิดชอบงานด้านกิจการสังคมของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ผู้นำเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการที่รับผิดชอบเรื่องการประกันสุขภาพตามกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงินด้านสวัสดิการสังคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 10 คน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 10 คน
-
- 7.3 ด้านการตรากฎหมาย (Législation)
-
- หน่วยงานประเมินผลด้านการตรากฎหมายของรัฐสภา (Office parlementaire d'évaluation de la législation) ตั้งขึ้นจากการริเริ่มของรัฐสภาและเป็นการดำเนินการในการปฏิรูปการทำงานของรัฐสภา หน่วยงานนี้ประกอบด้วยผู้แทนจาก 2 ฝ่าย คือ ผู้แทนจากสภาผู้แทนราษฎรและผู้แทนจากวุฒิสภา
-
- หน่วยงานนี้มีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลและดำเนินการศึกษาเพื่อประเมินความเหมาะสมของการนำกฎหมายไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่กระทบกระเทือนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
-
- 7.4 การวางแผน (Planification)
คณะผู้แทนเพื่อการวางแผนของรัฐสภา (Délégation parlementaire pour la planification) ได้รับการจัดตั้งขึ้นทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีหน้าที่ในการให้ข้อมูลด้านการร่างและปฏิบัติตามแผนต่อรัฐสภาซึ่งต้องมีการรับฟังข้อมูล การขอเอกสารที่จำเป็นจากรัฐบาลและจัดเตรียมรายงานข้อมูล
-
- 7.5 สิทธิสตรี (Droits des femmes)
คณะผู้แทนด้านสิทธิสตรีและความเท่าเทียมกันทางโอกาสระหว่างชายและหญิงของรัฐสภา (Délégation parlementaire aux droits des femmes et à l'égalité des chances entre les hommes et les femmes) จัดตั้งขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยคณะผู้แทนแต่ละคณะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 36 คน มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลของนโยบายรัฐบาลที่มีต่อความเท่าเทียมกันทางโอกาสระหว่างชายและหญิงต่อรัฐสภาในส่วนที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมกันด้านโอกาสระหว่างชายและหญิง และติดตามการใช้บังคับกฎหมาย
-
- 7.6 การบริหารจัดการท้องถิ่น (Aménagement des territoires)
-
- คณะผู้แทนด้านการบริหารจัดการและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของท้องถิ่นของรัฐสภา (Délégation parlementaire à l'aménagement et au développement durable du territoire) ตั้งขึ้นในทั้ง 2 สภา
-
- คณะผู้แทนแต่ละคณะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 15 คน มีหน้าที่ในการประเมินแนวนโยบายด้านการบริหารจัดการและการพัฒนาท้องถิ่นและให้ข้อมูลด้านการร่างและปฏิบัติตามแบบแผนของการบริการสาธารณะแก่รัฐสภา
-
- คณะผู้แทนแต่ละคณะจะให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐกฤษฎีกาที่ได้ปฏิบัติตามแผนแม่บทตามที่รัฐบาลร้องขอ
[แก้] ดูเพิ่ม
- รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
- การเมืองประเทศฝรั่งเศส
- ระบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส
- ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
[แก้] อ้างอิง
- ^ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะมีตำแหน่งสำคัญอีกตำแหน่งซึ่งมีการเรียกควบคู่กันไปกับชื่อตำแหน่งคือผู้พิทักษ์ตราแผ่นดิน (Garde de Sceaux)
- ^ ความผิดประเภทอุกฤษโทษหมายถึงความผิดที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต ส่วนความผิดประเภทมัชฌิมโทษได้แก่ความผิดที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 เดือนถึง 5 ปี
- ^ สภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ (Conseil d’Etat) ทำหน้าที่ 2 ด้าน คือ เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลโดยเป็นผู้พิจารณาร่างกฎหมาย ร่างรัฐกำหนดรวมถึงร่างรัฐกฤษฎีกา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยเป็นผู้ให้ความเห็นชอบเนื้อหาร่างกฎหมาย รูปแบบและความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ และทำหน้าที่เป็นศาลปกครองสูงสุดพิจารณาข้อพิพาททางปกครอง