See also ebooksgratis.com: no banners, no cookies, totally FREE.

CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
พระเจ้าติโลกราช - วิกิพีเดีย

พระเจ้าติโลกราช

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการเก็บกวาด ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบ เพิ่มแหล่งอ้างอิง ใส่หมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือภาษาที่ใช้ ในส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนด้วยกัน เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานวิกิพีเดียไทย
คุณสามารถช่วยแก้ไขได้ โดยการตรวจสอบและปรับปรุงบทความนี้

กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ วิธีแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย เมื่อบทความนี้ได้รับการแก้ไขตามนโยบายแล้ว ให้นำป้ายนี้ออก

พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1952พ.ศ. 2030) พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๙ ราชวงศ์มังราย แห่งอาณาจักรล้านนา[[โดยมีนครเชียงใหม่เป็นเมืองหลวง และมีเขตน้ำหนังดิน ๕๗ หัวเมือง] (ครองราชย์ พ.ศ. 1985พ.ศ. 2030) พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและสร้างพระบรมเดชานุภาพ ขยายอำนาจบารมีและแผ่อาณาจักรกว้างไกล สร้างความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นให้แก่อาณาจักรล้านนาจนพระเกียรติยศเลื่องลือไปทั่วทิศ พระนามเดิมคือ “เจ้าลกหรือท้าวลก”เหตุที่มีพระนามนี้เพราะพระองค์ เป็นโอรสองค์ที่ 6 ("ลก"มีความหมายว่า"ลำดับที่ ๖"ของพญาสามฝั่งแกน ซึ่งมีพระโอรส 10 พระองค์ต่างพระมารดากันเรียงลำดับ ดังนี้ เจ้าอ้าย(๑) เจ้ายี่(๒) เจ้าสาม(๓) เจ้าไส(๔) เจ้างั่ว(๕) เจ้าลก(๖) เจ้าเจ็ด(๗) เจ้าแปด(๘) เจ้าเก้า(๙) เจ้าซ๊อย(ลูกสุดท้อง) และโปรดให้พระโอรสไปครองเมืองต่างๆ กัน โดยเจ้าลกได้ไปครองเมืองพร้าววังหิน(อำเภอพร้าว อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเชียงใหม่ เป็นระยะทางประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร)ส่วนท้าวซ้อย ครองเมืองฝาง (อำเภอฝาง อยู่ห่างจากเชียงใหม่ไปทางทิศเหนือเป็นระยะทางประมาณ ๑๗๕ กม.)ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากกว่าเมืองพร้าววังหิน


เนื้อหา

[แก้] การชิงราชสมบัติ

เมื่อเจ้าลกได้ไปครองเมืองพร้าววังหินได้ระยะหนึ่งกระทำผิดอาจญาพระบิดาจึงเนรเทศให้ไปครองเมืองยวมใต้หรือ อำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ห่างจากเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ ๒๐๐ กม. ต่อมามีอำมาตย์ของพระเจ้าสามฝั่งแกนคนหนึ่งชื่อ “สามเด็กย้อย” คิดเอาราชสมบัติให้เจ้าลก ได้ซ่องสุมกำลังลอบไปรับเจ้าลกจากเมืองยวมใต้มาซุ่มและซ่อนตัวไว้ที่นครเชียงใหม่ในขณะที่พระเจ้าสามฝั่งแกนประทับอยู่ที่เวียงเจ็ดลิน(เชิงดอยสุเทพ บริเวณ ม.เชียงใหม่ และ ม.เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา) การเริ่มชิงราชสมบัติทำโดยการเผาเวียงเจ็ดลิน เมือ่พระเจ้าสามฝั่งแกนทรงทราบก็รีบทรงม้าเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ เจ้าลกและนายสามเด็กย้อยก็ได้เข้าควบคุมตัวพระบิดาแล้วบังคับให้สละราชสมบัติให้แก่พระองค์

[แก้] การขึ้นครองราชย์

พระเจ้าสามฝั่งแกนจำต้องมอบราชสมบัติให้เจ้าลกเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1985 ทรงพระนามว่า พระมหาศรีสุธรรมติโลกราช มีพระชนมายุ 32 พรรษา ส่วนพระราชบิดาถูกส่งตัวไปไว้ที่เมืองสาด ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเชียงใหม่ เป็นระยะทางประมาณ ๓๐๐ กม.(ปัจจุบันอยู่ในรัฐฉาน พม่า)และปูนบำเหน็จความชอบนายสามเด็กย้อยเป็นเจ้าแสนขาน แต่อยู่มาได้เพียง 1 เดือน 15 วัน เจ้าแสนขานก็คิดการเป็นขบถอีก พระเจ้าติโลกราช จึงให้อาของพระองค์ คือหมื่นโลกนครผู้ครองเมืองลำปางไปจับตัวไปคุมขังแต่ไม่ให้ทำร้าย เมื่อพ้นโทษได้ลดยศเป็น หมื่นขานและให้ไปครองเมืองเชียงแสน(อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อยู่ห่างจากเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ ๓๐๐ กม.)

[แก้] การทำสงครามขยายพระเดชานุภาพ

ตลอด ๔๖ ปีของรัชกาลพระเจ้าติโลกราช มีการทำสงครามขยายพระเดชานุภาพนับได้  หลายครั้ง ดังนี้

๑.ปราบหัวเมืองฝางที่แข็งเมืองเจ้าเมืองหนีไปพึ่งบารมีเจ้าเมืองเทิง แต่ถูกประหารชีวิตต่อหน้าเจ้าเมืองเทิง เป็นการกระทำที่ไม่ไว้หน้าเจ้าเมืองเทิง จึงส่งสารลับแจ้งให้อยุธยายกทัพมาตีเชียงใหม่ นำว่าเป็นปฐมเหตุแห่งศึกสิงห์เหนือ เสือใต้ (เชียงใหม่ -อยุธยา)ยืดเยื้อยาวนาน ถึง ๑๘ ปีจนสิ้นรัชกาลทั้ง พระเจ้าติโลกราชกับพระเจ้าสามพระยาและพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ ๒.อยุธยามาตีเมืองเชียงใหม่ ตามที่เจ้าเมืองเทิงแปรพักตร์แจ้งให้ยกทัพมาชิงเมือง ผล อยุธยาถูกกลศึกตอบโต้โดนโจมตีแตกพ่าย ส่วนเจ้าเมืองเทิงถูกประหารชิวิต ตัดคอใส่แพหยวกกล้วยล่องนำปิง โดยมีนัยว่าเพื่อให้ไปถึงพระเจ้าอยุธยา(พระบรมราชาที่ ๒ หรือเจ้าสามพระยา) ๓.ปราบเมืองน่านที่แข็งเมือง พระญาเมืองน่านหนีไปพึ่งบารมีเมืองเชลียงของอยุธยา ๔.ขับไล่เมืองหลวงพระบางที่ยกทัพลอบโจมตีเมืองน่าน ๕.ปราบเมืองยอง ไทลื้อ (รัฐฉาน พม่า) ๖.ปราบเมืองหลวงพระบาง ขรองหลวง ขรองน้อย ๗.ปราบเมืองเชียงรุ่ง (๑๒ ปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน)เมืองลอง เมืองตุ่น เมืองแช่ ๘.ปราบเมืองเชียงรุ่งที่แข็งเมืองอีกครั้ง ตีเมืองอิง ๙.ปราบเมืองนาย (รัฐฉาน พม่า) รวมกับเมืองอื่น ๑๑ เมืองกวาดต้อนผู้คนจำนวน ๑๒,๓๒๘ คนมาใส่เมืองเชียงใหม่ ๑๐.ยกทัพไปตีเมืองไทใหญ่ ครั้นถึงเมืองหางทราบข่าวเวียตนามยกทัพ ๔๐๐,๐๐๐ นาย มาตีหลวงพระบาง และมาโจมตีเมืองน่านจึงยกทัพกลับมาช่วยเมืองน่าน เจ้าเมืองน่านต่อสู้อย่างทรหด รบชนะกองทัพมหาศาลของจักรพรรดิเลทันตองแห่งเวียตนาม ความล่วงรู้ถึงจักรพรรดิ์จีน ทรงส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเครื่องประกอบเกียรติยศ พร้อมเสนาบดีผู้ใหญ่ ๒ คนเดินทางมาประกอบพิธีที่เชียงใหม่อย่างยิ่งใหญ่ อลังการยกให้เป็น "รอง"จักรพรรดิ์จีนแห่งราชวงศ์หมิง ให้เป็นราชาผู้พิชิตแห่งทิศตะวันตก ส่วนจักรพรรดิจีนเป็นจักรพรรดิ์แห่งทิศตะวันออก ๑๑.ตีกำแพงเพชร(ชากังราว)แตก ส่งทัพหน้ามากวาดครัวถึงเมืองชัยนาท เข้าตีสุโขทัย มิได้ จึงถอยทัพกลับ ๑๒.เจ้าเมืองเชลียงแห่งสุโขทัย มาสวามิภักดิ์ ๑๓.เจ้าเมืองพิษณุโลก หัวเมืองเหนือของอยุธยา มาสวามิภักดิ์ ๑๔.ยกทัพไปล้อมเมืองพิษณุโลก พระบรมไตรโลกนาถใช้กลศึกหลบหนีออกจากเมืองพิษณุโลกเวลาเที่ยงคืนและมืดสนิท ทางลำน้ำน่านกลับอยุธยา ทัพหน้าไปตีเมืองปากยม(พิจิตร) ๑๕.แต่งให้หมื่นด้งนครไปตีเมืองเชลียง ๑๖.อยุธยาถูกกลศึกผ่านสายลับที่ถูกจับได้ ให้เห็นว่าเชียงใหม่จะยกทัพไปทำศึกทางเหนือ จึงแจ้งให้อยุธยายกทัพมาชิงเอาเชียงใหม่ โดยเชียงใหม่รอซุ่มโจมตีที่ดอยขุนตาล(รอยต่อ ลำพูนกับลำปาง) ตีกองทัพอยุธยาแตกพ่าย ถูกไล่ติดตามตลอดทั้งคืนผ่านห้างฉัตร ลำปาง เด่นชัย จนถึงเขาพลึง(เขตต่อแดน แพร่กับอุตรดิตถ์)ครั้งนั้นพระอินทราชา พระราชโอรสในพระบรมไตรโลกนาถต้องปืนที่พระพักตร์ ๑๗.อยุธยา สบโอกาส กองทัพเชียงใหม่ยกขึ้นขึ้นเหนือไปตี เมืองพง ไทลื้อ(มณฑลยูนนาน ประเทศจีน)จึงยกทัพเข้าตีเมืองแพร่ ฝ่ายหมื่นด้งนคร จึงยกทัพไปช่วยเมืองแพร่ป้องกันเมือง ครั้นกองทัพพระเจ้าติโลกราชเเผด็จศึกเมืองพงไทลื้อ เสร็จแล้วจึงกลับยังไม่ทันถึงเชียงใหม่ทราบข่าวจึงยกทัพหลวงไปช่วยเมืองแพร่ พระบรมไตรโลกนาถ ทรงเห็นกองทัพใหญ่เกินกำลังจะต้านทานได้จึง ถอยทัพกลับ โดยทัพหลวงมหาราชเชียงใหม่ไล่ติดตามไปแต่ไม่ทัน จึงไม่ได้รบกัน ทัพหลวงผ่านเมืองเชลียงกลัวหายนะภัยจึงขอเป็นข้าราชบริภาร จากนั้นทัพมหาราชเชียงใหม่เข้าตีเมืองพิษณุโลกสองแคว แต่ไม่สำเร็จ จึงถอยทัพไปตีเมืองปางพล แล้วกลับผ่านเมืองเชลียง ลำปาง เชียงใหม่ ๑๘.ต่อมาเจ้าเมืองเชลียงเป็นกบถจึงให้หมื่นด้งนครยกทัพไปจับกุมตัวเจ้าเมืองเชลียงมายังเชียงใหม่ และเนรเทศไปอยู่เมืองหาง พร้อมกับแต่งตั้งให้หมื่นด้งนคร ครองเมืองเชลียง(สวรรคโลก)เพิ่มขึ้นอีกเมืองหนึ่ง ๑๙.ต่อมาเชียงใหม่ถูกพระเถระพุกามที่รับจ้างจากอยุธยา มาเชียงใหม่ หลอกให้ตัดต้นไม้นิโครธ ซึ่งชาวเชียงใหม่สักการะบูชาที่แจ่งศรีภูมิ จนบ้านเมืองปั่นป่วน ต่อมามีเหตุการณ์ไม่คาดคิด คือ พระเจ้าติโลกราช สั่งประหารท้าวบุญเรือง พระราชโอรสองค์เดียวที่ถูกท้าวหอมุก(นางสนม)ใส่ความว่าจะชิงราชบัลลังค์ ภายหลังทราบว่าพระโอรสบริสุทธิ์ ก็ทรงเสียพระทัย อีกทั้งทรงกริ้วและหวาดระแวงว่าหมื่นด้งนคร ทหารเอกคู่บัลลังค์ ที่ส่งให้ไปต้านทานกองทัพอยุธยาที่ชายแดนเมืองเชลียง เชียงชื่น(สวรรคโลก)จะแปรพักตร์ไปเข้าอยุธยา จึงเรียกตัวไปเชียงใหม่และถูกประหารชีวิต เมื่อทหารเอกคู่บัลลังค์หมื่นด้งนครถึงแก่อนิจกรรมแล้ว พระเจ้าติโลกราชจึงให้หมื่นแคว่นผู้ครองเมืองแจ้ห่ม(อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง) ไปครองเมืองเชียงชื่น(สวรรคโลก)แต่ถูกพระยาสุโขทัยยกทัพเข้าตี จนหมื่นแคว่นตายในที่รบ เมืองสุโขทัยจึงได้เมืองเชียงชื่นกลับคืน หลังจากอยู่ใต้ธงมหาราชเชียงใหม่มายาวนาน ๒๓ ปี อันเป็นต้นเรื่องและเป็นประเด็นหลักใน ลิลิตยวนพ่ายที่เทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ที่ตีเมืองเชลียง เมืองเชียงชื่นหรือเมืองสวรรคโลก(อดีตเมืองลูกหลวงของสุโขทัย)กลับคืนมาอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารได้อีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๐๑๗ ๒๐. ศักราช ๘๓๗ มะแมศก (พ.ศ. ๒๐๑๘)มหาราช(เชียงใหม่)ขอมาเป็นไมตรี...พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ๒๑.นับจากนี้เป็นเวลา ๑๒ ปีที่อาณาจักรทั้งสองเป็นไมตรีต่อกัน และมหาราชทั้งสองพระองค์ล่วงเข้าสู่วัยชรา มหาราชเชียงใหม่สวรรคตในปี ๒๐๓๐ ขณะพระชนมายุได้ ๗๘ พรรษาครองราชย์ ๔๖ ปีและตามติดกันในปีต่อมา มหาราชอยุธยา สวรรคตในปี ๒๐๓๑ขณะพระชนมายุได้ ๕๗ พรรษา ครองราชย์ ๔๐ ปี....

[แก้] การทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยา

อาณาจักรล้านนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช ได้ทำสงครามครั้งแรกกับอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ หรือเจ้าสามพระยา ต่อมาจึงทำสงครามกับพระบรมไตรโลกนาถหลายครั้งด้วยกัน ในปี พ.ศ. 1985 เจ้าเมืองเทิง แห่งอาณาจักรล้านนา (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดเชียงราย) ไม่พอใจที่ หมื่นโลกนคร แม่ทัพของพระเจ้าติโลกราช ติดตามไปฆ่าท้าวซ้อย เจ้าเมืองฝางที่แข็งเมืองและหลบหนีไปพึ่งบารมี จึงได้ขอสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบรมราชาธิราช ที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงทรงถือเป็นโอกาสเสด็จยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ ในขณะเดียวกัน พระเจ้าติโลกราชได้จับเจ้าเมืองเทิงประหารชีวิต กองทัพอยุธยาได้ถูกกลศึกของฝ่ายเชียงใหม่ปลอมตัวเป็นตะพุ่นช้าง(คนหาอาหารให้ช้าง)ปะปนเข้าไปในกองทัพเจ้าสามพระยาเมื่อได้จังหวะยามวิกาลจึงตัดปลอกช้าง ฟันหางช้างจนช้างแตกตื่นแล้วฟันนายช้างตาย กองทัพเชียงใหม่ได้ยินเสียงอึกทึกก็ได้ทียกเข้าตีกองทัพกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายไป เจ้าสามพระยาได้พยายามอีกครั้งหนึ่งโดยยกทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าตีเมืองเชียงใหม่แต่ทรงประชวรสิ้นพระชนม์กลางทาง รวมการทำสงครามระหว่าง ๒ อาณาจักร ยืดเยื้อยาวนานถึง ๓๓ ปี (นับแต่ พ.ศ. ๑๙๘๕ สมัยพระเจ้าสามพระยา ถึง พ.ศ. ๒๐๑๘ สมัยพระบรมไตรโลกนาถ)

[แก้] พระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนากับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งอาณาจักรอยุธยา

ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991พ.ศ. 2031)พระองค์ข้นครองราชย์ขณะพระชนมายุได้ ๑๗ พรรษา และก่อนขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก เมื่อขึ้นครองราชย์ได้เสด็จลงมาประทับที่กรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้เจ้าเมืองต่างๆ ชิงอำนาจกันเอง และเจ้าเมืองพิษณุโลกสองแคว แปรพักตร์ไปสวามิภักดิ์พระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา จึงนำกองทัพมาตีเมืองต่างๆของอยุธยา คือ เมืองพิษณุโลกสองแคว เมืองปากยม(พิจิตร) เมืองชากังราว(กำแพงเพชร) เมืองสุโขทัย เมืองเชลียง(ศรีสัชชนาลัย) เมืองเชียงชื่น(สวรรคโลก) โดยได้เข้าตีเมืองสุโขทัยในปี พ.ศ. 1994 แต่เมื่อทรงทราบข่าวว่าพระเจ้ากรุงล้านช้างยกทัพมาประชิดแดนล้านนาจึงโปรดให้ยกทัพกลับ แต่กองทัพกรุงศรีอยุธยาตามไปตีกองหลังของกองทัพพระเจ้าติโลกราชแตกที่เมืองเถินแตกพ่ายไป

ครั้นถึง พ.ศ. 2004 พระเจ้าติโลกราชยกทัพลงมาตีหัวเมืองตอนเหนือของอยุธยาอีก แต่บังเอิญพวกฮ่อ(จีน ยูนนาน)ยกกำลังมาตีชายแดนเชียงใหม่ก็จำต้องยกทัพกับไปรักษาเมืองขึ้นกับเชียงใหม่ อย่างไรก็ดี พระเจ้าติโลกราชได้ยกทัพมารุกรานหัวเมืองฝ่ายเหนือของอยุธยาอยู่เนืองๆ เป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนนโยบายเสด็จขึ้นไปประทับครองราชสมบัติเสีย ณ เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2006โดยยกฐานะเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองหลวง เพื่อสะดวกในการจัดกำลังต่อตีทัพมหาราชฝ่ายเหนือ อีกทั้งยังทำหัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งมักแก่งแยกอำนาจกันและแตกออกจากฝ่ายกรุงศรีอยุธยามีความสามัคคีด้วยความยำเกรงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ประทับครองราชย์อยูที่เมืองพิษณุโลกจนสิ้นรัชกาล เมื่อ พ.ศ. 2031 แต่กระน้นก็ยังต้องคอยสู้รบกับการรุกรานของพระเจ้าติโลกราชอยู่เรื่อยมารวม ๒๗ ปี

[แก้] การสงบศึกและเป็นพันธมิตร

ใน พ.ศ. 2008 ขณะพระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวชที่วัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก พระองค์ส่งราชทูตมายังเชียงใหม่เพื่อขอเครื่องอัฐบริขารพร้อมกับพระเถรานุเถระไปทำพิธีผนวชจากพระเจ้าติโลกราช(ขณะนั้นมีพระชนมายุ ๕๖ พรรษา)จึงโปรดให้หมื่นล่ามแขกเป็นราชทูตพร้อมด้วยพระเทพคุณเถระและพระอับดับ 12 รูปลงมาเมืองพิษณุโลกเพื่อเข้าเฝ้าถวายเครื่องอัฐบริขารแด่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ตามหลักฐานศิลาจารึกวัดจุฬามณี ที่บันทึกว่า " ศักราช ๘๒๖ ปีวอกนักษัตร(พ.ศ. ๒๐๐๗) อันดับนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีศรีบรมไตรโลกนาถบพิตรเปนเจ้า ให้สร้างอาศรมจุฬามณีที่จะเสด็จออกทรงมหาภิเนษกรม ขณะนั้น เอกราชทั้งสามเมืองคือ พระญาล้านช้าง แลมหาราชพระญาเชียงใหม่ แลพระญาหงสาวดี ชมพระราชศรัทธา ก็แต่งเครื่องอัฐบริขารให้มาถวาย" ในขณะทรงผนวช ๘ เดือน ๑๕ วัน พระองค์ได้ทรงถือโอกาสส่งสมณทูตชื่อโพธิสัมภาระมาขอเอาเมืองเชลียง -สวรรคโลกคืน เพื่อ"ให้เป็นข้าวบิณฑบาตร"จากพระเจ้าติโลกราชแต่พระเจ้าติโลกราชเห็นว่าเป็น"กิจของสงฆ์"จึงทรงนิมนต์พระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีทุกรูปมาประชุมเพื่อถวายข้อปรึกษา ครั้งนั้นมีพระเถระเชียงใหม่ชื่อสัทธัมมรัตตนะได้กล่าวกับโพธิสัมภาระสมณะทูตของอยุธยา ว่า" ตามธรรมเนียมท้าวพระญา(พระมหากษัตริย์)เมื่อผนวชแล้วก็ย่อมไม่ข้องเกี่ยวข้องในเรื่องบ้านเมืองอีก เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวชแล้วยังมาขอเอาบ้านเอาเมืองนี้ ย่อมไม่สมควร"พระบรมไตรโลกนารถได้ยินคำเหล่านั้น ก็นิ่งเก็บไว้ในใจ เมือทรงลาผนวชแล้วจึงได้ออกอุบายจ้างให้พระเถระพุกามรูปหนึ่งที่ทรงไสยคุณไปเป็นไส้สึกในเชียงใหม่ ทำไสยศาสตร์ ยุแยงให้พระเจ้าติโลกราช ทำลายสิ่งศักดิ์สิทธ์ของเมือง อาทิ ตัดโค่นไม้นิโครธประจำเมือง จนเกิดอาเพศ มีความระแวงสงสัยบรรดาข้าราชบริพาร จนถึงกับสำเร็จโทษท้าวบุญเรืองราชโอรสตามที่เจ้าจอมหอมุกใส่ความว่าจะชิงราชบัลลังค์ ครั้นทราบความจริงภายหลังทรงเสียพระทัยที่หลงเชื่อจนประหารราชโอรสพระองค์เดียว รวมทั้งการลงโทษหมื่นด้งนครผู้เป็นแม่ทัพเอกคู่บารมีผู้พิชิตเมืองเชลียง เชียงชื่น(ศรีสัชนาลัย สวรรคโลก ซึ่งเคยเป็นเมืองลูกหลวงของสุโขทัย)ที่ถูกใส่ความอีกด้วย ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่งราชทูตนำเครื่องราชสักการะมาเยือนเชียงใหม่ นัยว่ามาสืบราชการลับที่ จ้างพระเถระพุกามทำคุณไสย์แก่เชียงใหม่ ต่อมาพระเถระพุกามถูกจับและเปิดเผยความจริง จึงถูกลงราชทัณฑ์นำตัวไปทิ้งลงแม่นำปิงที่"แก่งพอก" เพื่อให้คุณไสย์ชั่วร้ายสนองคืนกลับแก่ผู้ที่สั่งมา พระเจ้าติโลกราชทำสงครามกับพระบรมไตรโลกนาถต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๒๗ ปี ต่างพลัดกันรุกผลัดกันรับ ครั้งนั้นพระองค์ขยายอำนาจขึ้นไปทางทิศเหนือตีได้เมืองเชียงรุ้ง (เชอหลี่ใหญ่หรือจิ่งหง)สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ภาคใต้ของประเทศจีน ตีได้เมืองเชียงตุง(เชอหลี่น้อยหรือเขมรัฐ) ทิศตะวันตก ได้รัฐฉาน ฝั่งตะวันตกแม่น้ำสาละวิน ติดพรมแดนมู่ปางหรือแสนหวี คือเมืองสีป้อ เมืองนาย เมืองไลค่า เมืองเชียงทอง รวมกว่า ๑๑ เมือง โดยเจ้าฟ้าเมืองต่างๆนำไพร่พลเมืองมาพึ่งบุญที่เชียงใหม่ ๑๒,๓๒๘ คน ทางทิศตะวันออกจรดล้านช้าง ประเทศลาว ทิศใต้จรด ตาก เชลียง(ศรีสัชนาลัย)เชียงชื่น(สวรรคโลก) ซึ่งอยู่ห่างจากสุโขทัยเพียง ๖๐ กม.ต่อมา ในปี พ.ศ. 2018 พระเจ้าติโลกราชจึงทรงติดต่อกับฝ่ายกรุงศรีอยุธยาขอเป็นไมตรีกัน ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาซึ่งบอบช้ำมากพอกันจึงรับข้อเสนอของพระเจ้าติโลกราช ในปลายสมัยของรัชกาลของทั้งสองพระองค์อาณาจักรล้านนากัยกรุงศรีอยุธยาจึงมีความสงบเป็นไมตรีต่อกันจนสิ้นรัชกาลโดยพระเจ้าติโลกราชสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๐๓๐ และให้หลังอีก ๑ ปี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็สวรรคต ในปี พ.ศ. ๒๐๓๑ เป็นการปิดฉาก ศึก ๒ มหาราชแห่ง ๓ โลก ("ติโลก""ไตรโลก"แปลว่า ๓ โลกคือเมืองสวรรค์ เมืองมนุษย์ และเมืองนรก)

[แก้] พระกรณียกิจ

  การสงคราม

พระเจ้าติโลกราช เป็นพระมหากษัตริย์นักรบที่ทรงพระปรีชาสามารถได้แผ่ขยายอำนาจของกรุงราชธานีเชียงใหม่ไปทั่ว ๕๗หัวเมืองขึ้น (Zinme Yazawin (Chronicle of Chiang Mai,Universities Historical Research Centre Yangon ,2003 p 89 ) ครอบคุมทิศเหนือจรดเมืองเชียงรุ่ง(จิ่งหง)มณฑลยูนนาน ประเทศจีน เมืองเชียงตุง เมืองยอง(รัฐฉาน ประเทศพม่า) เมืองนาย เมืองไลค่า เมืองเชียงทอง เมืองปั่น เมืองยองห้วย เมืองสุ เมืองจีด เมืองกิง เมืองลอกจอก เมืองสีป้อ เมืองจาง รวม ๑๑ เมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่นำสาละวิน (รัฐฉาน พม่า) ทิศตะวันออกตีได้อาณาจักรล้านช้าง(ประเทศลาว) ทิศใต้จรดขอบแดนอยุธยา แนว ตาก เถิน ศรีสัชนาลัย(สุโขทัย) ลับแล แพร่ น่าน อาณาจักรล้านนาในรัชกาลของพระองค์เป็นยุคทอง รุ่งเรืองสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับการรับรองจากคนกลาง "โอรสแห่งสวรรค์"จักรพรรดิ์จีนแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งบันทึกไว้ใน"หมิงสื่อลู่"เป็นเอกสารโบราณประจำรัชกาลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดแห่งราชสำนักจักรพรรดิจีน และ ดร.วินัย พงศรีเพียร นักประวัติศาสตร์ผู้เรืองนาม ได้แปลไว้ในเอกสารชื่อ "ปาไป่สีฟู่ ปาไป่ต้าเตี้ยน"(คณะกรรมการสืบค้นประวัติศาสตร์ไทยในเอกสารภาษาจีน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์ในโอกาสเชียงใหม่มีอายุครบ ๗๐๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๓๙) บันทึกว่า จักรพรรดิ์จีนยกย่องให้พระเจ้าติโลกราชเป็น "ตาวหล่านนา"หรือท้าวล้านนาและพระราชทานเครื่องประกอบเกียรติยศมากมายนอกจากนี้ยังสถาปนาพระเกียรติยศเป็นลำดับ"สอง" รองจากองค์จักรพรรดิ์จีน ซึ่งตรงกับเอกสารของพม่าที่บันทึกไว้ชื่อว่า "Zinme Yazawin(Chronicle of Chiang Maiหรือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับพม่า)ดังความว่า "ที่ใดก็ตามที่ปรากฏศัตรูขึ้นในแปดทิศของจักรพรรดิ์อุทิปวาผู้ปกครองทุกสิ่งภายใต้สวรรค์ ให้ท้าวล้านนาเจ้าฟ้าแห่งเมืองเชียงใหม่ มีอำนาจที่จะปราบปรามและลงโทษศัตรูนั้นได้...""Wherever enemies appeae in the eight directions of the Empire of the Utipwa,who Rules All under Heaven ,Thao Lan Na , Chaofa of Chiang Mai with his forecs shall subdue and punish them== อ้างอิง == Zinme Yazawin (Chronicle of Chiang Mai,Universities Historical Research Centre Yangon ,2003 p 42) และทรงให้ราชสมญานามพระเจ้าติโลกราชว่า "'ราชาผู้พิชิต ราชาแห่งทิศตะวันตก"" Victorious Monarch,'King of the West" เอกสารเดียวกัน "โดยให้เสนาบดีผู้ใหญ่ควบคุมเครืองราชอิสริยาภรณ์ ตราพระราชลัญจกร พระสุพรรณบัตร เครื่องประกอบเกียรติยศมากมาย ทองคำแท่ง ๑๐๐ ตำลึง เดินทางมาถึงเชียงใหม่ ทำพิธีอย่างยิ่งใหญ่ อลังการ นอกนั้นพระราชกรณียกิจที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก จึงทำให้รัชกาลของพระองค์พระพุทธศาสนารุ่งเรืองสูงสุด มีการตรวจชำระพระไตรปิฎก หรือสังคายนา เป็นครั้งที่ ๘ ของโลก ณวัดเจ็ดยอด เมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2020 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลบวชกุลบุตรเป็นพระภิกษุจำนวน 500 รูปในอุทกสีมาหรืออุปสมบทกลางแม่นำตามอย่างลัทธิลังกาวงค์ แม่น้ำปิง ในปี พ.ศ. 1990 เมื่อพระราชบิดา พระเจ้าสามฝั่งแกนสวรรคต จึงจัดการพระราชทานเพลิงพระศพแล้วสถาปนาพระสถูปบรรจุพระอัฐิไว้ ณ ป่าแดงหลวง ( อยู่เชิงดอยสุเทพ ในบริเวณ ม.เชียงใหม่)โดยบุทองแดงแล้วปิดทองทั้งองค์ เมื่อเสร็จงานในปีเดียวกันก็ออกผนวชโดยให้พระมารดาว่าราขการแทนพระองค์ ทั้งนี้เพื่อศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัย ต่อมาเมื่อพระมารดาสิ้นพระชนม์ก็ถวายพระเพลิง ณ สถานที่เดียวกันกับพระบิดา แล้วสถาปนาที่นั้นเป็นพระอารามในปี พ.ศ. 1994 โดยทรงขนานนามว่าวัดอโสการามวิหาร ลุถึงปี พ.ศ. 1998 โปรดให้สร้างวัดโพธารามวิหาร หรือวัดเจดีย์เจ้ดยอด

[แก้] การสังคายนาชำระพระคัมภีร์พระไตรปิฏก

ที่วัดเจดีย์เจ็ดยอดนี้เองที่พระเจ้าติโลกราชทรงโปรดให้ชุมนุมพระเถนานุเถระ โดยมีพระธรรมทินมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดป่าตาลเป้นประธาน กระทำสังคายนาชำระพระคัมภีร์พระไตรปิฎกที่วัดโพธารามนี้ได้รับการยอมรับต่อเนื่องต่อเนื่องว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่ 8 ในประวัติพระพุทธศาสนต่อจากที่ทำมาแล้ว 7 ครั้งในประเทศอินเดียและศรีลังกา โดยเรียกการสังคายนาครั้งที่ 8 ที่เชียงใหม่นี้ว่า “อัฏฐสังคายนา” ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนี้ จนเป็นที่เลื่องลือพระเกียรติยศไปทั่วประเทศข้างเคียง ทำให้พระเจ้าติโลกราชได้รับากรเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระเจ้าศิริธรรมจักรวัติโลกราชามหาธรรมิกราช พระเจ้านครพิงค์เชียงใหม่”

[แก้] การก่อสร้างและปฏิสังขรพระพุทธสถาน

เมื่อปี พ.ศ. 2022 พระเจ้าติโลกราชโปรดให้หมื่นด้ามพร้าคตเดินทางไปลังกาจำลองแบบโลหปราสาทและมาก่อสร้างเป็นเจดีย์ ๗ ยอด ณ วัดมหาโพธาราม(วัดเจ็ดยอด) และจำลองรัตนมาลีเจดีย์เพื่อนำแบบมาปฏิสังขรพระเจดีย์ใหญ่ที่วัดเจดีย์หลวงที่พระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งราชวงษ์เม็งรายโปรดฯ ให้สร้างขึ้น พระเจดีย์ใหญ่องค์นี้จึงได้รับการขยายเสริมฐานให้กว้างเป็น 70 เมตร สูง 88 เมตร โปรดให้บรรจุพระบรมธาตูที่ได้มาจากลังกาไว้ในองค์พระเจดีย์นี้ พร้อมทั้งโปรดฯ ให้สร้างหอพระแก้วตามอย่างโลหปราสาทที่ลังกา แล้วอาราธนาพระแก้วมรกตและพระแก้วขาวมาไว้ในหอพระแก้ววัดเจดีย์หลวงนื

ในปี พ.ศ. 2025 โปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก่นจันทน์แดงจากวิหารวัดป่าแดงเหนือเมืองพะเยามาไว้ที่นครเชียงใหม่ โดยเสด็จไปรับด้วยพระองค์เองที่เมืองลำพูน ตลอดเวลาในช่วงปลายรัชกาล พระเจ้าติโลกราชได้สนพระทัยทะนุบำรุงพระศาสนาเป็นอันมาก ได้โปรดฯ ให้หล่อพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่งและโปรดฯ ให้บรรจุพระบรมธาตู 500 องค์ ขนานนามว่า พระป่าตาลน้อย ประดิษฐานไว้ ณ วัดป่าตาลวัน ที่ซึ่งพระธรรมทินเถระผู้เป็นประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 เป็นเจ้าอาวาส

พระเจ้าติโลกราชเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2330พระชนมายุ ๗๘ พรรษา ก่อนสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเพียงปีเดียวขณะพระชนมายุ ๕๗ พรรษา หลังครองราชย์มาเป็นเวลานานถึง 46 ปี พระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อาณาจักรล้านนาและนครเชียงใหม่มากที่สุดพระองค์หนึ่ง เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์ ทางราชการจึงได้ตั้งชื่อหอประชุมใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ว่า “หอประชุมติโลกราช”(ปัจจุบัน อยู่ติดกับศาลากลางจังหวัด(หลังเก่า)ในวัดอินทขิลสะดือเมือง หรือบริเวณอนุสาวรีย์ ๓ กษัตริย์)ใจกลางเมืองเชียงใหม่

[แก้] อ้างอิง

  • วิลาสวงศ์ พงศะบุตร ติโลกราช สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิยสถาน เล่ม 13 พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ 2524
  • สรัสวดี อ๋องสกุล เว็บไซต์ล้านนาคดี 2530 [[1]]
  • วินัย พงศ์ศรีเพียร ปาไป่สีฟู่ ปาไป่ต้าเตี้ยน เชียงใหม่ในเอกสารจีนโบราณ พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๓๙
  • Zinme Yazawin (Chronicle of Chiang Mai)จัดพิมพ์โดย University Historical research Centre ,Yangon, 2003
  • ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏชียงใหม่,๒๕๓๘ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ เชียงใหม่ ๗๐๐ ปี
  • มูลนิธิพระบรมธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่,๒๕๔๘ วัดโลกโมฬี ส.ทรัพย์การพิมพ์ เชียงใหม่


รัชสมัยก่อนหน้า:
พญาสามฝั่งแกน
ราชวงศ์เม็งราย
กษัตริย์อาณาจักรล้านนา
ราชวงศ์เม็งราย
พ.ศ. 1985 - พ.ศ. 2031
รัชสมัยถัดไป:
พระเจ้าศรีบุญเรือง
ราชวงศ์เม็งราย
ภาษาอื่น


aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -