See also ebooksgratis.com: no banners, no cookies, totally FREE.

CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
ซิลเวอร์แชร์ - วิกิพีเดีย

ซิลเวอร์แชร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ซิลเวอร์แชร์
บนเวทีเมื่อ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2006
บนเวทีเมื่อ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2006
ข้อมูลพื้นฐาน
แนวเพลง อัลเทอร์เนทีฟร็อก, โพสต์-กรันจ์
ปี 1992–2003
2005–ปัจจุบัน
ค่าย เมอร์เมอร์,อีพิก,อีเลฟเวน
ส่วนเกี่ยวข้อง เดอะดิซโซซิเอทีฟส์
เดอะเมสส์ฮอลล์
แทมบาเลน
เว็บไซต์ http://www.chairpage.com/
สมาชิก
ดาเนียล จอห์นส
คริส โจนนาว
เบน จิลลีส์

ซิลเวอร์แชร์ (อังกฤษ: Silverchair) เป็นวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากออสเตรเลีย แรกเริ่มรวมตัวกันในชื่อวง อินโนเซนต์คริมินอลส์ (Innocent Criminals) ที่นิวคาสเซิล นิวเซาธ์เวลส์ ในปี ค.ศ. 1992 โดยมีสมาชิกตั้งแต่เริ่มก่อนตั้งวงคือ ดาเนียล จอห์นส (ร้องนำและกีตาร์) , คริส โจนนาว (กีตาร์เบส) และ เบน จิลลีส์ (กลอง) ซิลเวอร์แชร์ประสบความสำเร็จในประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างมาก ได้รับรางวัลอย่าง รางวัลแอเรีย ถึง 20 ครั้ง[1] และยังได้รับ 2 รางวัลจาก APRA [2][3]

ซิลเวอร์แชร์ประสบความสำเร็จในช่วงแรกจากเพลงแรกคือ "Tomorrow" ที่ชนะการประกวดระดับท้องถิ่นจากเครือข่ายสถานีโทรทัศน์เอสบีเอส จากนั้นวงก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง เมอร์เมอร์ และมีผลงานประสบความสำเร็จดีในออสเตรเลียและระดับนานาชาติ ในปี ค.ศ. 2003 หลังจากที่ออกอัลบั้ม Diorama ทางวงได้ออกมาประกาศแยกวง ในช่วงนั้นเองสมาชิกแต่ละคนก็ออกไปมีผลงานเพลงของตนเอง คือวง เดอะดิซโซซิเอทีฟส์ ,เดอะเมสส์ฮอลล์ และ แทมบาเลน จนกระทั่งซิลเวอร์แชร์ได้รวมตัวกันอีกครั้งในคอนเสิร์ต 2005 เวฟเอด และออกผลงานเพลงชุด Young Modern และได้ร่วมทัวร์กับวงอย่าง พาวเดอร์ฟิงเกอร์

แนวเพลงของซิลเวอร์แชร์ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไป มีความแตกต่างกันไปในแต่ละอัลบั้ม มีการเติบโตไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากแนว กรันจ์/โพสต์-กรันจ์ ในอัลบั้มชุดแรก ไปจนถึงชุดล่าสุดที่ผสมผสานไม่ว่าจะเป็นออร์เครสตร้าไปจนถึงแชมเบอร์-ป็อป ทางด้านนักเขียนเพลงของวงอย่างดาเนียล จอห์นสก็พยายามพัฒนาในการเขียนเพลง และทางวงก็พัฒนาลูกเล่นใหม่ ๆ ที่ซับซ้อนขึ้นในงานชิ้นต่อไป

เนื้อหา

[แก้] ประวัติ

[แก้] การรวมตัวและผลงานช่วงแรก (1992–1996)

จุดกำเนิดของ ซิลเวอร์แชร์ เริ่มตั้งแต่ปี 1992 โดยดาเนียล จอห์นส (ร้องนำและกีตาร์) และเบน จิลลีส์ (กลอง) เริ่มเล่นดนตรีด้วยกันมาตั้งแต่สมัยชั้นประถมศึกษา จนเมื่อขึ้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนิวคาสเซิลไฮสคูล ก็ได้ชักชวนคริส โจนนาว (กีตาร์เบส) เข้ามาเล่นดนตรีด้วยกัน ในนาม ชอร์ต เอลวิส (Short Elvis) จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น อินโนเซนต์คริมินอลส์ (Innocent Criminals) [4][5] พวกเขาได้แสดงโชว์อยู่หลายครั้งในแถบฮันเตอร์วัลเลย์ ในช่วงวัยรุ่นของพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็ได้ลงแข่งขันในงานยูธร็อกในปี 1994 (ซึ่งตอนนั้นยังไม่โด่งดัง) เป็นการแข่งขันวงดนตรีที่มาจากโรงเรียน[6] จนกระทั่งวงได้มีชื่อเสียงจากการเป็นวงชนะเลิศการแข่งขันระดับประเทศที่ชื่อ "Pick Me" เป็นรายการทางสถานีโทรทัศน์เอสบีเอสร่วมกับสถานีวิทยุแนวอัลเทอร์เนทีฟที่ชื่อ ทริปเปิลเจ กับเพลงของเขาเองที่ชื่อ "Tomorrow" และส่วนหนึ่งของรางวัลก็คือ สังกัดเพลงทริปเปิลเจ ได้ช่วยบันทึกเพลงและเอสบีเอสทำมิวสิกวิดีโอให้พวกเขา[5] วงอินโนเซนต์คริมินอลส์ในขณะนั้นก็ได้โอกาสเปลี่ยนชื่อวงก่อนที่จะออกซิงเกิ้ลแรกในชีวิต "Tomorrow"[7] โดยทางวงได้เลือกชื่อว่า ซิลเวอร์แชร์ ซึ่งมาจากการเพี้ยนคำของเพลงหนึ่งของวงเนอร์วานาที่ชื่อว่า Sliver กับชื่อของวงเบอร์ลินแชร์[8]

ความนิยมในซิลเวอร์แชร์ทำให้พวกเขาได้เซ็นสัญญาการทำอัลบั้มกับสังกัดโซนีมิวสิก 3 อัลบั้ม และในส่วนสังกัดทริปเปิลเจได้ออกซิงเกิลในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1994 ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทแอเรีย ซิงเกิ้ลชาร์ท เป็นเวลานาน 6 สัปดาห์[9] ต่อมาในปี 1995 พวกเขาได้ทำการบันทึกเสียงเพลง "Tomorrow" อีกครั้ง (รวมถึงทำมิวสิกวิดีโอใหม่) สำหรับตลาดในอเมริกา และได้กลายเป็นเพลงที่เล่นบ่อยที่สุดสำหรับสถานีวิทยุโมเดิร์นร็อกในปีนั้น[5] อัลบั้มแรกของพวกเขา Frogstomp ใช้เวลาบันทึกเสียงเพียง 9 วัน และออกวางขายในปี ค.ศ. 1995 ซึ่งในเวลาที่บันทึกเสียงอัลบั้มนี้ สมาชิกแต่ละคนมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น และยังศึกษาในระดับไฮสคูลอยู่[5][10] แนวความคิดในการเขียนเนื้อร้องสำหรับเพลงในอัลบั้ม Frogstomp ได้มาจากนิยาย ภาพเขียนทางโทรทัศน์ โศกนาฏกรรมในแถบที่เขาอยู่อาศัย ความเจ็บปวดของเหล่าเพื่อนพ้องของเขา อัลบั้มนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดี All Music Guide และ นิตยสารโรลลิงสโตน ให้คะแนนไว้ที่ 4 ดาว และ 4 ดาวครึ่ง ตามลำดับ ให้คำชมต่อความเอาจริงเอาจังสำหรับอัลบั้มนี้โดยเฉพาะกับเพลง "Tomorrow"[11][10] และอัลบั้ม Frogstomp ก็ขึ้นอันดับ 1 ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และสามารถขึ้นไปใน 10 อันดับแรกของนิตยสารบิลบอร์ดในส่วนของชาร์ทบิลบอร์ด 200 และทำให้พวกเขาเป็นวงออสเตรเลียวงแรกตั้งแต่วง อินเอ็กเซส สามารถทำได้ อัลบั้มนี้มียอดขาย 2.5 ล้านชุดทั่วโลก[5] ทั้งอัลบั้ม Frogstomp และเพลง "Tomorrow" ก็ยังคงรับรับความนิยมในปีนั้น พวกเขายังได้ทัวร์ร่วมกับวงอย่างเรดฮ็อตชิลิเป็ปเปอร์ส และร่วมแสดงบนชั้นหลังคาของเรดิโอซิตีมิวสิกฮอลล์ ขณะที่พวกเขาก็ยังคงศึกษาต่อในนิวคาสเซิลด้วย[12] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1996 เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น จำเลยที่ชื่อว่า ไบรอัน บาสเซ็ตต์ อายุ 16 ปี และนิโคลัส แม็กโดนัลด์ อายุ 18 ปี ทั้งคู่ได้อ้างว่าฟังเพลงที่ชื่อ "Israel's Son" จากอัลบั้ม Frogstomp เป็นเหตุจูงใจในการฆาตกรรมผู้ปกครองของบาสเซ็ตต์และพี่ชาย ทนายฝ่ายจำเลยพยายามโยนความผิดให้วง ทางวงได้ออกมาปฏิเสธว่าเพลงของพวกเขาไม่ได้สร้างความรุนแรงดังกล่าว และทางวงพ้นข้อกล่าวหานี้[13]

[แก้] เสียงวิจารณ์และความสำเร็จ (1997–2001)

ขณะที่พวกเขากำลังประสบความสำเร็จจากผลงานอัลบั้มชุด Frogstomp ทั้งในออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ซิลเวอร์แชร์เริ่มบันทึกเสียงผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 Freak Show ออกวางขายในปี 1997 อัลบั้มนี้มีเพลงติดใน 10 อันดับแรกบนชาร์ทซิงเกิ้ลของออสเตรเลียคือเพลง "Freak", "Abuse Me" และ "Cemetery" ซิงเกิ้ลที่ 4 "The Door" ติดชาร์ทที่อันดับ 25[9] หลายเพลงในอัลบั้มนี้สื่อถึงอารมณ์โกรธ ปฏิกิริยาอันรุนแรงที่คาดหวังในอัลบั้ม Frogstomp ของวงซิลเวอร์แชร์เอง[14] Freak Show ทำยอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำในสหรัฐอเมริกา[15] และมียอดขายอัลบั้มชุดนี้เกินกว่า 1.5 ล้านชุดทั่วโลก[16]

หลังจากที่เรียนจบจากโรงเรียน ทางวงสามารถที่จะมีเวลามากพอที่จะสร้างสรรค์ผลงานอัลบั้มชุดใหม่ Neon Ballroom ซึ่งออกวางขายในปี ค.ศ. 1999 เดิมทีทางวงตั้งใจไว้ว่าจะหยุดพักเป็นเวลา 12 เดือนแต่สุดท้ายก็ใช้เวลาทำงานเพลงชุดนี้[17] Neon Ballroom มีซิงเกิ้ลอยู่ 4 ซิงเกิ้ลคือ "Anthem for the Year 2000", "Ana's Song (Open Fire) ", "Miss You Love" และ "Paint Pastel Princess" ซึ่งมี 3 ซิงเกิ้ลที่สามารถขึ้นชาร์ทใน 50 อันดับแรกของ ชาร์ทแอเรีย[9]

ทั้งอัลบั้ม Freak Show และ Neon Ballroom ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทแอเรีย อัลบั้มส์ชาร์ท[18] อีกทั้ง Freak Show ยังสามารถขึ้นชาร์ทอัลบั้มในแคนาดาที่อันดับ 2 และ Neon Ballroom ที่อันดับ 5[19] ซิงเกิ้ล "Freak", "Abuse Me" และ "Cemetery" ติดใน 10 อันดับแรกของชาร์ทซิงเกิ้ลในออสเตรเลีย[9] และ "Abuse Me" ติดอันดับ 4 ในชาร์ทฮ็อตโมเดิร์นร็อกแทร็กส์ และ ชาร์ทเมนสตรีมร็อกแทร็กส์ ของอเมริกา[20] ซิงเกิ้ล "Anthem for the Year 2000" สามารถขึ้นชาร์ทได้สูงจากซิงเกิ้ลทั้งหมดในอัลบั้ม Neon Ballroom สูงสุดที่อันดับ 3[9] ขณะที่ซิงเกิ้ล "Ana's Song (Open Fire) " สูงสุดที่อันดับ 10 บนชาร์ทโมเดิร์นร็อกแทร็กส์ ในอเมริกา[19]

ในปี 1999 จอห์นสออกมาประกาศว่าเขารักษาโรคความผิดปกติในการกินอันเนื่องจากความเครียด จอห์นเผยว่า เนื้อเพลง "Ana's Song (Open Fire) " เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติตัว โดยเขากล่าวว่า "กินเพื่ออยู่"[21] จอห์นออกมาเปิดเผยว่า เพลงดังกล่าว เขาเขียนในขณะที่เขากำลังป่วยเป็นโรคความผิดปกติในการกิน เขารู้สึกไม่อยากกินอะไร เขาเกือบฆ่าตัวตาย เขาเกลียดทุกอย่างในช่วงนั้น แม้กระทั่งดนตรี แต่กระนั้นเขาก็เขียนเพลงออกมาได้[22]

ซิลเวอร์แชร์ขยายการทัวร์ออกไปสำหรับอัลบั้ม Neon Ballroom สามารถเพิ่มยอดขายประสบความสำเร็จมากกว่าอัลบั้ม Freak Show นิตยสารโรลลิงสโตนกล่าวถึงความสำเร็จนี้ว่า "มีดนตรีที่โตขึ้น"[23] ในยุโรปและอเมริกาใต้ อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวงจนปัจจุบัน ซิลเวอร์แชร์ออกทัวร์และแสดงสด ในงานแสดงดนตรี รีดดิงเฟสติวัล และ เอ็ดจ์เฟสต์ และ อื่น ๆ[24] ส่วนในปี 2000 ซิลเวอร์แชร์ได้แสดงสดที่ฟอลส์เฟสติวัลเพียงแห่งเดียวในช่วงวันปีใหม่ และในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2001 ได้แสดงต่อหน้าคน 250,000 คนในงานร็อกอินริโอ ถือเป็นหนึ่งในแสดงโชว์ที่น่าจดจำของอาชีพนักดนตรีของพวกเขา[25] หลังจากการทัวร์ทั่วโลก ทางวงประกาศว่าจะหยุดพักเป็นเวลา 12 เดือน[25]

หลังจากออกอัลบั้ม Neon Ballroom เงื่อนไขสัญญา 3 อัลบั้มก็หมดลง มีหลายค่ายเพลงที่ยื่นข้อเสนอมาให้ แต่ก็ลงเอยเมื่อเขาเซ็นสัญญาบค่ายแอตแลนติกเรคคอร์ดส ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ อีกทั้งพวกเขาก็ได้ตั้งค่ายเพลงของตนเองขึ้นใหม่ในชื่อ อีเลฟเวน: อะ มิวสิก คอมพานี สำหรับในออสเตรเลียและเอเชีย หลังจากที่พวกเขาประกาศ บริษัทโซนีก็ออกอัลบั้มรวมฮิตที่ชื่อว่า The Best of Volume 1 โดยปราศจากการอนุญาตจากทางวง[25]

[แก้] Diorama (2002–2003)

ตัวอย่างเสียงของ ซิลเวอร์แชร์ เพลง "Luv Your Life"
  • "Luv Your Life" (จาก en:)
    noicon
    เปิดฟัง "Luv Your Life" เพลงที่จอห์นสใช้วิธีเขียนเพลงแบบใหม่ด้วยเปียโน และมีการเรียบเรียงออสเครสตราโดยแวน ไดค์ พาร์กส
  • หากไม่ได้ยินเสียง โปรดดูเพิ่มที่ media help

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2001 ซิลเวอร์แชร์เข้าสตูดิโอในซิดนีย์กับโปรดิวเซอร์ เดวิด บ็อททริลล์ (เคยทำงานร่วมกับ ทูล ,ปีเตอร์ แกเบรียล, คิง คริมสัน) เริ่มทำงานอัลบั้มชุดที่ 4 Diorama โดยหนนี้ ดาเนียล จอห์นส รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ร่วม[26] อัลบั้มนี้จอห์นสอธิบายไว้ว่า "เป็นโลกในอีกโลก""[27] มาจากการค้นพบการเขียนเพลงวิธีใหม่ ที่มาจากการใช้เปียโน เป็นเทคนิกที่เขาพัฒนาระหว่างช่วงพัก[28] และยังมีนักดนตรีหลายคนร่วมได้มาทำงานร่วมในอัลบั้ม Diorama ไม่ว่าจะเป็น แวน ไดค์ พาร์กส ที่เรียบเรียงออร์เครสตราให้กับเพลง "Tuna in the Brine", "Luv Your Life" และ "Across the Night"[29] และยังมีพอล แม็ก จิม โมจินี และ ยอน การ์เฟียส ก็ร่วมงานกับวงด้วย[30] ขณะที่บันทึกเสียงอัลบั้ม Diorama จอห์นสกล่าวว่าเขาเหมือนเป็นศิลปินคนหนึ่ง มากกว่าสมาชิกวงร็อกวงหนึ่ง และหลังจากอัลบั้มออก คำวิจารณ์ต่ออัลบั้มมีว่าเป็นอัลบั้มที่มีศิลปะมากกว่างานชิ้นก่อน ๆ[31][32]

ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม Diorama คือ "The Greatest View" ออกอากาศทางเครือข่ายสถานีวิทยุในออสเตรเลียในช่วงต้นเดือนธันวาคม หลังจากนั้นซิงเกิ้ลก็ออกวางขายในช่วงเวลาใกลกับที่วงปรากฏตัวในการทัวร์ บิ๊กเดย์เอาท์ทัวร์[33] ในช่วงออกทัวร์ จอห์นสประสบปัญหากับอาการข้อต่ออักเสบ ทำให้เป็นการยากต่อการเล่นกีตาร์[34][35]

Diorama ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทอัลบั้มของชาร์ทแอเรีย และอยู่ในอันดับนาน 50 สัปดาห์ใน 50 อันดับแรก[9] 5 ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มนี้คือ "The Greatest View", "Without You", "Luv Your Life", "Across the Night" และ "After All These Years" ซิงเกิ้ลที่ขึ้นอันดับสูงสุดคือ "The Greatest View" ที่สามารถขึ้นอันดับ 3 บนชาร์ทซิงเกิ้ลของแอเรีย[9] Diorama ยังประสบความสำเร็จในงาน 2002 แอเรียอวอร์ดส รับรางวัล 5 สาขา รวมถึงอัลบั้มร็อกยอดเยี่ยม และ ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม[1] ซิลเวอร์แชร์เล่นเพลง "The Greatest View" ในงานประกาศรางวัลครั้งนี้ และเพลงนี้ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลวิดีโอยอดเยี่ยมอีกด้วย[36] หลังจากงานครั้งนี้ทางวงได้ออกมาประกาศการแยกวง จอห์นสออกมาเปิดเผยว่า "ตามความจริงวงได้อยู่ร่วมกันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ"[5][37]

[แก้] ช่วงพักและโครงการอื่น (2004–2005)

ในปี 2000 ขณะที่ยังทำงานร่วมวงซิลเวอร์แชร์ จอห์นและพอล แม็ก ออกอีพี ที่มีเฉพาะอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ชื่อชุดว่า I Can't Believe It's Not Rock และหลังจากการประกาศแยกวงซิลเวอร์แชร์ ทั้งจอห์นสและพอลก่อตั้งวงที่ชื่อ เดอะดิซโซซิเอทีฟส์ ออกอัลบั้มแรก The Dissociatives ในปี 2004[38] จอห์นยังได้ทำงานร่วมกับนาตาลี อิมบรูกเลีย ภรรยาของเขา (ในขณะนั้น) ในอัลบั้มของเธอ Counting Down the Days ออกเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2005[39] ขณะที่โจนนาวทำงานในโปรเจคอื่นในนามวง เดอะเมสส์ฮอลล์ ทำเพลงอัลบั้มที่สองของพวกเขาที่ชื่อ Feeling Sideways[40] อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงแอเรียอวอร์ดส สาขาผลงานจากค่ายอิสระยอดเยี่ยม ในปี 2003[41] จิลลีส์ก็มีงานโปรเจคอื่นในนามวง แทมบาเลน กับอัลบั้ม Tambalane และได้ทัวร์คอนเสิร์ตทั่วออสเตรเลีย[42]

หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย ค.ศ. 2004 ซิลเวอร์แชร์รวมตัวสำหรับงานเวฟเอด เพื่อหาเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย งานจัดขึ้นในซิดนีย์ในปี 2005 และเพื่อหาเงินช่วยเหลือกับองค์การสำหรับภัยพิบัติครั้งนี้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ทางวงตัดสินใจที่จะรวมตัวกันใหม่[43] จิลลีส์ได้พูดถึงปฏิกิริยาการรวมตัวของสมาชิกในวงนี้ในรายการเดอะซิดนีย์มอร์นิงเฮอร์รัลด์ว่า "มันเป็นเวลา 15 ปีของพวกเรา แต่ตอนนี้พวกเราก็ตระหนักดีว่า เรามีสิ่งพิเศษและจะต้องทำมัน"[44]

[แก้] กลับมาอีกครั้ง (2006–ปัจจุบัน)

หลังจากแสดงในงานเวฟเอด ซิลเวอร์แชร์รวมตัวกันอีกครั้งและเริ่มเตรียมการทำงานสำหรับอัลบั้มถัดไป ในปี 2006 ทางวงได้ทำเดโมอัลบั้ม Young Modern ในฮันเตอร์วัลเลย์ และบันทึกเสียงในลอสแอนเจลิส ที่ซีนีอันเดอร์เบลลีสตูดิโอ ร่วมกับโปรดิวเซอร์ นิก ลอเนย์[45] แวน ไดค์ พาร์กส ได้มาร่วมงานอีกครั้ง โดยเดินทางไปที่ปราก เพื่อบันทึกเสียงออร์เครสตรากับวงเชคฟิลฮาร์โมนิก[46] ซิลเวอร์แชร์ได้สร้างสรรค์ผลงานโดยอิสระ ผิดจากอัลบั้มก่อนที่ต้องทำงานร่วมกับค่ายเพลงต้นสังกัด[5]

ซิลเวอร์แชร์แสดงได้ อะครอสเดอะเกรตดีไวด์ทัวร์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007
ซิลเวอร์แชร์แสดงได้ อะครอสเดอะเกรตดีไวด์ทัวร์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007

วงได้ออกทัวร์ก่อนที่จะออกวางขายอัลบั้ม การแสดงที่ โฮมเบกและอีกหลายที่ พวกเขาได้นำเพลงเก่าของวงมิดไนต์ออย มาทำใหม่ในเพลง "Don't Wanna Be the One" และได้แสดงที่งาน 2006 แอเรียอวอร์ดส ที่เป็นส่วนหนึ่งของรางวัลยกย่องในแอเรียฮอลล์ออฟเฟรม ระหว่างการแสดง จอห์นสพ่นสเปรย์เป็นคำว่า PG4PM ซึ่งย่อมาจาก Peter Garrett for Prime Minister (ปีเตอร์ การ์เร็ตต์ สำหรับนายกรัฐมนตรี) เพื่อเป็นการสนับสนุนเขา ซึ่งการ์เร็ตต์ก็ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคแรงงานออสเตรเลีย[47] และในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2007 ซิลเวอร์แชร์และวงพาวเดอร์ฟิงเกอร์ประกาศทัวร์ด้วยกันในอะครอสเดอะเกรตดีไวด์ทัวร์ โดยจุดประสงค์ของทัวร์เพื่อหารายได้ให้โครงการรีคอนซิลิเอชันออสเตรเลียในการลดช่องว่างระหว่างเด็กชาวอะบอริจินและที่ไม่ใช่ชาวอะบอริจิน[48][49]

อัลบั้มออกวางขายในปี 2007 มีซิงเกิ้ลแรกคือ "Straight Lines" และซิงเกิ้ลถัดมาคือ "Reflections of a Sound", "If You Keep Losing Sleep" และ "Mind Reader" ซึ่ง Young Modern เป็นอัลบั้มที่ 5 ของวงซิลเวอร์แชร์ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทอัลบั้มของชาร์ทแอเรีย[50] ซิงเกิ้ล "Straight Lines" เป็นซิงเกิ้ลที่สามของวงที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ในออสเตรเลียได้[9] ทั้งอัลบั้มและเพลงได้รับ 3 รางวัลจากเวที 2007 แอเรียอวอร์ดส ทำให้ซิลเวอร์แชร์ได้รับรางวัลรวมจากเวทีนี้ 20 รางวัล[1]

[แก้] แนวเพลง

ตัวอย่างเสียงของ ซิลเวอร์แชร์ เพลง "Straight Lines"
  • "Straight Lines" (จาก en:)
    noicon
    เปิดฟัง "Straight Lines" ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม Young Modern ที่เห็นความแตกต่างของทิศทางดนตรีของซิลเวอร์แชร์ และเป็นอัลบั้มที่พวกเขาได้ทำดนตรีและผลิตผลงานเอง เพลงนี้สามารถชนะในเวทีแอเรียอวอร์ดสาขา เพลงประจำปี ค.ศ. 2007
  • หากไม่ได้ยินเสียง โปรดดูเพิ่มที่ media help

ซิลเวอร์แชร์เป็นวงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก/โพสต์กรันจ์ ถึงแม้ว่าแนวเพลงจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเติบโตของพวกเขา การเริ่มต้นทำงานช่วงแรกเป็นโพสต์กรันจ์ ได้รับอิทธิพลจาก เนอร์วาน่า ,เพิร์ลแจม, ซาวด์การ์เดน และ แบล็กซับบาธ[51] จิลลีส์ยอมรับว่าวงได้รับอิทธิพลมาจากแนวเพลงแบบซีเอเทิลซาวน์ และวงอย่าง เดอะบีทเทิลส์ และ เดอะดอร์ส ที่เป็นวงที่เขาประทับใจตั้งแต่ยังเด็ก[52]

ในการเขียนงานในชุด Young Modern จอห์นสพยายามทำดนตรีให้เรียบง่าย ถึงแม้ว่าจะมีโครงสร้างทางดนตรีที่สลับซับซ้อน เนื้อเพลงเขียนหลังจากได้ดนตรีแล้ว ในบางครั้งหลังจากที่บันทึกเสียง จอห์นสจะพูดว่าเขากลัวที่จะเขียนเนื้อเพลง เขากล่าวต่อว่า วงสามารถผลิตผลงานอัลบั้มบรรเลงได้ในอนาคต[53]

โจนนาวเชื่อว่างานในอัลบั้ม Young Modern มีความเรียบง่ายกว่าอัลบั้ม Diorama แต่ "ก็ยังคงซับซ้อนภายใต้ความเรียบง่ายขององค์ประกอบดนตรีป็อป" เขาพูดว่า ความสำเร็จของเขาและวง ที่แสดงจากซิลเวอร์แชร์ ดูเหมือนพยายามชี้นำให้พวกเขาทำดนตรีและการเขียนเพลงให้หนักขึ้น ในการผลิตผลงานโดยปราศจากความกดดันของค่ายเพลง[54]

จิลลีส์กล่าวว่า "ซิลเวอร์แชร์มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียแฟนเพลง"[52] และยิ่งชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงทิศทางดนตรีในผลงานชุด Diorama และ Young Modern[52] อย่างไรก็ตามเขาก็อธิบายไว้ว่า "เราไม่ได้ซุกซ้อนความสามารถไว้ และคนหลายคนก็ไม่รู้สิ่งที่คาดหวังของตนเอง" และมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของวง ถึงแม้ว่าจะมีช่วงขึ้นและช่วงลงของความสำเร็จในช่วงแรก จิลลีส์พูดต่อว่า "เรารู้สึกพอใจสิ่งที่เราได้รับในอาชีพการงานของเรา"[52]

[แก้] การตอบรับ

ซิลเวอร์แชร์ในงานบิ๊กเดย์เอาต์ 2008 ในช่วงผลงานชุด Young Modern
ซิลเวอร์แชร์ในงานบิ๊กเดย์เอาต์ 2008 ในช่วงผลงานชุด Young Modern

นักวิจารณ์อธิบายว่า Frogstomp มีความคล้ายกับ เนอร์วาน่า และ เพิร์ลแจม โดยสตีเฟน โทมัส เออร์ลีไวน์ จากเว็บไซต์ออลมิวสิก เขียนไว้ว่า "เป็นอัลเทอร์เนทีฟร็อกแบบดั้งเดิม" ของวง[11] การเขียนเพลงดูแย่เมื่ออยู่บนเวที โดยเออร์ลีไวน์กล่าวต่อว่า "ความสามารถในการเขียนเพลงของพวกเขายังไม่แข็งแรง" เมื่อเทียบกับวงอื่น[11] นิตยสารโรลลิงสโตนกล่าวว่าซิลเวอร์แชร์ดูเหนือกว่าวงอื่นบ้าง และชมเชยจอห์นเรื่องเสียงร้อง[10] Freak Show แสดงมากกว่าแนวเพลงของพวกเขา มากกว่างานก็อปปี้คนอื่น[55] และมีคำชมเชยเกี่ยวกับการเขียนเพลง โดยแซนดี มาซูโอ จากยาฮู! มิวสิก อธิบายเกี่ยวกับเนื้อเพลงว่า "เคลื่อนไหว" และ "เข้าถึงอารมณ์"[56]

เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี พิสูจน์ความพัฒนาในอัลบั้ม Neon Ballroom โดยเขียนเปรียบเทียบกับวงร็อกรุ่นใหญ่อย่างวง เอซี/ดีซี และวิจารณ์ว่า "ดูหรูหราบนการเรียบเรียงแบบผู้ใหญ่"[57] สิ่งที่เห็นชัดเจนในการพัฒนาด้านการเขียนเพลง จอห์นอธิบายไว้ว่า "อารมณ์ที่รุนแรง, แรงกระตุ้น และทุกอย่างโตขึ้น"[57] อย่างไรก็ตามโรลลิงโตนพูดว่าอัลบั้มยังคงดูสับสน วิจารณ์ไว้ว่า "ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไร" กับเพลงพวกเขา[58] ขณะเดียวกัน Diorama ถูกมองว่าเป็นส่วนขยายในความเป็นตัวเองของวง ด้วย "การเรียบเรียงดนตรีออเคสตร้าที่หนักหน่วง การเคลื่อนไหวของท่วงทำนองที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และความรู้สึกแห่งเพลงป็อปที่ดูแปลกประหลาด"[59] และ นิกกิ แทรนเตอร์จากป็อปแมตเตอร์ส กล่าวว่า "Diorama เป็นอัลบั้มแถวหน้าของตลาดวงการเพลงออสเตรเลียที่น่าเบื่อ"[60]

เคลย์ตัน โบเกรอ์ จากออลมิวสิกไกด์ อธิบาย Young Modern ว่าเป็นการพัฒนาของทางวง กล่าวชมเชยว่า "มีท่อนฮุกที่ติดหู ธีมเนื้อหาที่เป็นแรงบันดาลใจ การเรียบเรียงเครื่องสายที่น่าตะลึง" เขายังกล่าวว่า "อัลบั้มนี้ถึงเป็นการพัฒนาสูงสุดของทางวง"[61] นิก แพร์สัน จากป็อปแมตเตอร์สพูดในทางตรงกันข้ามว่า "เมื่อคุณก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ที่คุณสามารถรู้ความแตกต่างระหว่าง เนื้อร้องบทกวีที่กำกวม กับ เรื่องไร้สาระ คุณก็จะดูโตเร็วกว่า ซิลเวอร์แชร์"[62] แพร์สันเรียกอัลบั้มนี้ว่า พยายามทำให้เซฟและมียอดขายที่มั่นใจได้ หลังจากงานที่ประสบความสำเร็จในอดีต และเรียกว่ามันน่าเบื่อมากกว่า[62]

[แก้] ผลงาน

สตูดิโออัลบั้ม

  • Frogstomp (1995)
  • Freak Show (1997)
  • Neon Ballroom (1999)
  • Diorama (2002)
  • Young Modern (2007)

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ 1.0 1.1 1.2 Winners by artist: Silverchair. Australian Recording Industry Association. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-04
  2. ^ 1996 Winners. Australasian Performing Right Association. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-23
  3. ^ 2003 Winners. Australasian Performing Right Association. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-23
  4. ^ อัลบั้ม Young Modern siamzone.com
  5. ^ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 Stephen Thomas Erlewine, Andrew Leahey. Silverchair > Biography. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-03
  6. ^ Past performers. YouthRock. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-03
  7. ^ Interview: Silverchair. Silent Uproar (3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-15
  8. ^ "Interview with Daniel Johns", 'Hitkrant', 1 มิถุนายน ค.ศ. 1996
  9. ^ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 9.7 Silverchair Discography. australian-charts.com. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-03
  10. ^ 10.0 10.1 10.2 Silverchair: Frogstomp. Rolling Stone (2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  11. ^ 11.0 11.1 11.2 Stephen Thomas Erlewine. Frogstomp > Overview. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  12. ^ Artist :: Silverchair. Australian Music Online. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-12
  13. ^ "Attorney wants to open teen's murder trial with rock song", 'Seattle Post-Intelligencer', 18 มกราคม ค.ศ. 1996
  14. ^ Simon Wooldridge. "Freak Show Review", 'JUICE', February 1997
  15. ^ Gold and Platinum - Silverchair. RIAA. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-17
  16. ^ Silverchair. Rage. abc.net.au (4 กันยายน ค.ศ. 1999). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-18
  17. ^ Richard Kingsmill (2000-11-29). Daniel Johns of silverchair speaks to Richard Kingsmill. Triple J. abc.net.au. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-04
  18. ^ F.A.Q Silverchair silverchair.nu
  19. ^ 19.0 19.1 Silverchair > Charts & Awards > Billboard Albums. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-08
  20. ^ Silverchair > Charts & Awards > Billboard Singles. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-12
  21. ^ Blair R. Fisher (1999-07-11). Silverchair Frontman Reveals Battle with Anorexia. Rolling Stone. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-05
  22. ^ Christine Sams (2004-06-06). Anorexia almost killed me: Daniel Johns. Sydney Morning Herald. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-05
  23. ^ Neva Chonin (1999-03-18). Silverchair: Neon Ballroom. Rolling Stone. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-05
  24. ^ Reading Festival - Reading, UK. Silverchair. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-05
  25. ^ 25.0 25.1 25.2 Silverchair. Long Way To The Top. abc.net.au. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-03
  26. ^ David John Farinella (1 มกราคม ค.ศ. 2003). Silverchair interview. Mix. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-07
  27. ^ Diorama. RollerCoaster. abc.net.au. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-07
  28. ^ Mark Neilsen. "Another Point of View", 'Drum Media', 22 เมษายน ค.ศ. 2002
  29. ^ Nikki Tranter (6 กันยายน ค.ศ. 2002). Silverchair: Diorama. PopMatters. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-08
  30. ^ Diorama > Credits. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-08
  31. ^ Mark Kemp (8 สิงหาคม ค.ศ. 2002). Silverchair: Diorama. Rolling Stone. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-07
  32. ^ Great Australian Albums:Diorama - Silverchair. Dymocks. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-07
  33. ^ Press - Sydney, Australia (Big Day Out). Chairpage.com (26 มกราคม ค.ศ. 2001). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-18
  34. ^ Dr Kerryn Phelps, Health Editor, with Steve Leibmann, Channel Nine, 'Today'. Australian Medical Association (6 พฤษภาคม ค.ศ. 2002). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-08
  35. ^ Daniel Johns wows fans with buff bod. NineMSN (6 สิงหาคม ค.ศ. 2007). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-08
  36. ^ Silverchair to bring Diorama live at ARIAs. Silverchair (12 ตุลาคม ค.ศ. 2002). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-09
  37. ^ Jason MacNeil (13 กรกฎาคม ค.ศ. 2007). Silverchair makes most of break. JAM! Music. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-09
  38. ^ The Dissociatives. Triple J. abc.net.au (2 เมษายน ค.ศ. 2004). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-09
  39. ^ Counting Down the Days > Credits. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-09
  40. ^ Releases :: Feeling Sideways. Australian Music Online. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-12
  41. ^ Awards by artist: The Mess Hall. Australian Record Industry Association. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-09
  42. ^ Tambalane. Australian Music Online. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-09
  43. ^ Rod Yates (30 ตุลาคม ค.ศ. 2007). Silverchair's Daniel Johns tells of his musical journey. PerthNow. news.com.au. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-12
  44. ^ Kelsey Munro (1 ธันวาคม ค.ศ. 2006). Homecoming heroes. Sydney Morning Herald. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-23
  45. ^ Young Modern. Bigpond Music. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-18
  46. ^ Silverchair - Young Modern. Amazon.com. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-10
  47. ^ Obama Recruits Kanye West, Arcade Fire Let Loose. Channel V. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-12
  48. ^ Across the Great Divide for Reconcile.org.au (PDF). Reconciliation Australia. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-18
  49. ^ Emily Dunn (13 มิถุนายน ค.ศ. 2007). In concert - rock and reconciliation. Brisbane Times. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-18
  50. ^ Rod Yates (30 ตุลาคม ค.ศ. 2007). Silverchair's Daniel Johns tells of his musical journey. PerthNow. news.com.au. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-04-27
  51. ^ Quick Silverchair Messenger. Rolling Stone (27 ธันวาคม ค.ศ. 1996). เรียกข้อมูลวันที่ 2008-03-18
  52. ^ 52.0 52.1 52.2 52.3 Clint Brownlee. "Seattlest Interview: Silverchair Drummer Ben Gillies", 'Seattlest', 18 กรกฎาคม ค.ศ. 2007
  53. ^ Erin Broadley (16 สิงหาคม ค.ศ. 2007). Interviews > Daniel Johns of Silverchair. SuicideGirls. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-16
  54. ^ Stephanie Bolling. Silverchair: Interview with Chris Joannou. reax. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-16
  55. ^ Stephen Thomas Erlewine. Freak Show > Overview. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  56. ^ Sandy Masuo (12 เมษายน ค.ศ. 1997). Freak Show. Yahoo! Music. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  57. ^ 57.0 57.1 Tom Lanham (19 มีนาคม ค.ศ. 1999). Neon Ballroom | Music Review. Entertainment Weekly. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  58. ^ Neva Chonin (18 มีนาคม ค.ศ. 1999). Silverchair: Neon Ballroom. Rolling Stone. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  59. ^ Mark Kemp (8 สิงหาคม ค.ศ. 2002). Silverchair: Diorama. Rolling Stone. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  60. ^ Nikki Tranter (6 กันยายน ค.ศ. 2002). Silverchair: Diorama. PopMatters. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  61. ^ Clayton Bolger. Young Modern > Review. All Music Guide. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13
  62. ^ 62.0 62.1 Nick Pearson (22 พฤษภาคม ค.ศ. 2007). Silverchair: Young Modern. PopMatters. เรียกข้อมูลวันที่ 2008-02-13

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

Commons:Category
คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับ:
ซิลเวอร์แชร์


aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -