อาร์แซน เวนเกอร์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาร์แซน เวนเกอร์ (Arsène Wenger ) เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ในเมืองสตราส์บูร์ก ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมของอาร์เซนอล เขาเป็นผู้จัดผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเรื่องของจำนวนถ้วยรางวัลและระยะเวลาการคุมทีมที่นานที่สุดของอาร์เซนอล เวนเกอร์เป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ใช่พลเมืองของสหราชอาณาจักรคนแรกที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในอังกฤษ นั่นคือดับเบิ้ลแชมป์ในปี ค.ศ. 1998 และ ค.ศ. 2002 สำหรับในปี ค.ศ. 2004 นั้น เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของประวัติศาสตร์ของเอฟเอ พรีเมียร์ลีกที่สามารถคุมทีมลงเล่นแล้วไม่แพ้ทีมใดในลีกเลยทั้งฤดูกาล จนกระทั่งอาร์เซนอลได้แชมป์ในปีนั้น ในด้านการศึกษานั้น เวนเกอร์นั้นจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ และปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งเมืองสตราส์บูร์ก เวนเกอร์มีความสามารถในการพูดได้หลายภาษา โดยสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศส, อัลซาเตียน, เยอรมัน และ อังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และยังสามารถพูดภาษาอิตาลี, สเปน, ญี่ปุ่น ได้บ้างอีกด้วย
เนื้อหา |
[แก้] ช่วงชีวิตของการเป็นนักฟุตบอล
การเล่นฟุตบอลอาชีพของเวนเกอร์นั้นไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไรนัก และแทบจะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อของเขาเลย ต่างกับผู้จัดการทีมหลายคนที่เคยเป็นนักฟุตบอลระดับโลกมาก่อนที่จะผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีม เขาเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งสมัครเล่นในตำแหน่งกองหลังของสโมสรสมัครเล่นหลายสโมสรด้วยกันเมื่อครั้งที่ยังศึกษาในระดับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1971
เวนเกอร์กลายเป็นนักเตะอาชีพครั้งแรกในปี ค.ศ. 1978 ในทีมอาร์ซี สตราส์บูร์ก นัดที่เจอกับโมนาโก เขาได้ลงเล่นให้กับต้นสังกัดเพียง 12 ครั้ง โดยในจำนวนนี้มีหนึ่งนัดที่ได้เล่นฟุตบอลรายการยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1978-79 ซึ่งเป็นการลิ้มลองรสชาติครั้งแรกและครั้งเดียวของเขาในรายการฟุตบอลยุโรป
ต่อมา ในปี 1981 นั้น เขาได้ได้รับใบอนุญาตการเป็นผู้จัดการทีมและได้รับมอบหมายให้ทำงานในส่วนของโค้ชทีมเยาวชนของสโมสร
[แก้] ช่วงชีวิตของการเป็นผู้จัดการทีม
อาร์แซน เวนเกอร์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมชุดใหญ่ครั้งแรกกับน็องซี่ในปี 1984 แต่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ในปีที่ 3 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเขาที่น็องซี่นั้น น็องซี่ปิดฤดูกาลด้วยอันดับ 19 ของตารางและต้องตกไปเล่นในลีกเดอฝรั่งเศส ชีวิตการเป็นผู้จัดการทีมของเขาเริ่มดีขึ้นเมื่อเขาได้มาเป็นผู้จัดการทีมของเอเอส โมนาโก ในปี 1987 และได้แชมป์ลีกในปี 1988 ซึ่งก็เป็นฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีมนั่นเอง จากนั้นก็คว้าแชมป์เฟรนช์คัพในปี 1991 เวนเกอร์เคยเซ็นสัญญาซื้อตัว Glean Hoddle, George Weah และ เจอร์เก้น คลิ้นซ์แมนน์ มาร่วมทีมอีกด้วย นอกจากนั้นยังได้เซ็นสัญญากับ ยูริ จอร์เกฟ (Youri Djorkaeff) มาจากอาร์ซีสตาร์สบูร์กที่ได้กลายมาเป็นนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสชุดที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998 และดาวซัลโวลีกเอิง ฝรั่งเศส (20 ประตู)ในปีสุดท้ายที่เวนเกอร์คุมทีมอยู่ในฝรั่งเศส
ในปี 1994 เป็นปีที่โชคร้ายของเวนเกอร์ เมื่อเขาปฏิเสธข้อเสนอจากบาเยิร์น มิวนิคและการเป็นโค้ชทีมชาติฝรั่งเศส แต่โมนาโกจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 9 ของตาราง ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่สโมสรตั้งเอาไว้ หลังจากนั้น เขาก็ถูกไล่ออก
ต่อมา เขาได้ย้ายไปประสบความสำเร็จกับช่วงเวลาสั้นๆ 18 เดือนกับทีมฟุตบอลในเจลีกของญี่ปุ่น คือ นาโงย่า แกรมปัส 8 โดยเวนเกอร์พาลูกทีมคว้าถ้วยพระราชทานสมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งเป็นฟุตบอลชิงถ้วยของประเทศ นอกจากนั้นยังพาทีมที่เคยอยู่ในอันดับ 3 จากท้ายตารางขึ้นมาเป็นรองแชมป์ได้ในลีก ที่แกรมปัสนี้ เขาได้ว่าจ้างให้ Boro Primorac ผู้จัดการทีมของ Valenciennes มาเป็นผู้ช่วยของเขา และก็ได้เป็น"มือขวา"ของเวนเกอร์เป็นเวลาหลายปี
เวนเกอร์นั้นถือว่าเป็นคนที่โชคดีที่ได้เป็นเพื่อนกับคนที่จะได้เป็นรองประธานสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลในเวลาต่อมา นั่นคือ เดวิด ดีน ในคราวที่ทั้งสองได้พบกันเมื่อเวนเกอร์ไปชมเกมระหว่างอาร์เซนอลกับควีน พาร์ค เรนเจอร์ ในปี 1988 ต่อมา หลังจากที่ Bruce Rioch ได้ลาออกไปในเดือนสิงหาคม ปี 1996 นั้น Gérard Houllier ที่ต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการทางเทคนิคของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสได้แนะนำให้เดวิด ดีนชวนเวนเกอร์มาทำงานแทนในปี 1996 อาร์เซนอลยืนยันการว่าจ้างอาร์แซน เวนเกอร์เป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 28 กันยายน ปี 1996 และเขาก็ได้เข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง เวนเกอร์เป็นผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลคนแรกที่มาจากประเทศนอกสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ แม้ว่าผู้อำนวยการทางเทคนิคที่มีศักยภาพของสมาคมฟุตบอลจะเป็นคนชักชวนให้เวนเกอร์มารับตำแหน่งนี้ แต่ในเวลานั้น แทบไม่มีใครในอังกฤษเลยที่รู้จักชื่อของคนๆนี้
ก่อนที่เวนเกอร์จะเข้ามาคุมทีมอย่างเป็นทางการนั้น เขาต้องวางแผนที่จะเสริมความแข็งแกร่งและเฉียบขาดของทีมก่อน เวนเกอร์ได้ร้องขอให้สโมสรเซ็นสัญญาปาทริก วิเอร่า มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศส และเรมี่ การ์ดในช่วง 1 เดือนก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง เกมแรกที่เขาคุมทีมลงเล่นคือเกมที่เอาชนะแบล็คเบิร์นโรเวอร์สไปได้ 2-0 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1996
ฤดูกาลที่ 2 ที่เขาเข้ามาคุมทีมนั้น (ฤดูกาล 1997-98) เป็นฤดูกาลที่อาร์เซนอลสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพและเอฟเอคัพซึ่งเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร (ฤดูกาลนั้นอาร์เซนอลทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนนทั้งๆที่แข่งน้อยกว่า 2 นัด) ความสำเร็จครั้งนี้ต้องให้เครดิตกับปราการหลังฉายา "แบ็คโฟร์" ที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงฤดูกาลนี้ทั้งโทนี่ อดัมส์, ไนเจล วินเทอร์เบิร์น, ลี ดิกซัน และ มาร์ติน คีโอว์น รวมไปถึงสตีฟ บูร์ด ปราการหลังอีกคนอีกคน และศูนย์หน้าเดนนิส เบิร์กแคมป์ ตำนานของสโมสรในเวลาต่อมาอีกด้วย และก็ต้องยกเครดิตให้กับนักเตะหน้าใหม่ที่เวนเกอร์ซื้อเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น เอ็มมานูเอล เปอตีต์, ปาทริก วิเอร่า, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส และศูนย์หน้าดาวยิง นิโคลาส์ อเนลก้า
ในช่วงหลายๆฤดูกาลต่อมา เวนเกอร์ทำหน้าที่กับอาร์เซนอลได้ดีแต่กลับไม่ได้แชมป์ตอนท้ายฤดูกาลเลย ในปี 1999 พวกเขาเสียแชมป์พรีเมียร์ชิพให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดโดยวันสุดท้ายของฤดูกาลพวกเขาตามอยู่เพียง 1 คะแนนเท่านั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังเป็นทีมที่ทำให้อาร์เซนอลต้องตกรอบเอฟเอคัพในช่วงต่อเวลาพิเศษอีกด้วย จากนั้นอาร์เซนอลก็มาแพ้กาลาตาซารายในการดวลจุดโทษนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าคัพ ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ปี 2001 อาร์เซนอลก็ต้องมาแพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล 2 ประตูต่อ 1 จากประตูของไมเคิล โอเว่นในช่วงท้ายเกม ในช่วงนี้ เวนเกอร์ยังได้นำนักเตะหน้าใหม่เข้ามาสู่ทีมเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นสัญญาโซล แคมป์เบลล์จากท๊อทแน่ม ฮอตสเปอร์ส และนักเตะชื่อก้องโลกอย่างเฟร็ดดิก ลุงเบิร์ก, เธียร์รี อองรี และโรแบร์ ปิแรส
ขุนพลนักเตะชุดใหม่นี้ช่วยให้อาร์เซนอลในยุคของอาร์แซน เวนเกอร์นั้นสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ทำให้อาร์เซนอลได้แชมป์คือนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลที่พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอลเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 1-0 ซึ่งโดยรวมๆแล้วอาร์เซนอลเล่นได้ดีกว่า รอย คีน อดีตกัปตันทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในชุดนั้นยังได้กล่าวถึงเกมนัดนั้นว่าเป็นการแข่งขันกันระหว่าง"เด็กกับผู้ใหญ่" นั่นก็คือฤดูกาล 2001/02 นั่นเอง
อาร์แซน เวนเกอร์ยังเคยพาอาร์เซนอลเป็นแชมป์ฟุตบอลเอฟเอคัพในปี 2003 และพาทีมอาร์เซนอลรักษาสถิติไม่แพ้ใครทั้งฤดูกาลได้และสถิติยิงประตูทุกนัดที่ลงทำการแข่งขันในพรีเมียร์ชิพจนทำให้คว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาล 2003/04 อีกด้วย
หลังจากนั้น อาร์แซน เวนเกอร์ก็นำถ้วยเอฟเอคัพมาสู่สโมสรอาร์เซนอลได้อีกครั้งในปี 2005 ทำให้อาร์เซนอลได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยและเอฟเอคัพ 4 สมัยภายใต้การคุมทีมของเวนเกอร์ นับว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อาร์เซนอลเมื่อนับตามถ้วยรางวัลที่ได้มา อย่างไรก็ตาม เวนเกอร์ก็ยังไม่เคยได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปมาครองได้ โดยเขาพาทีมเข้าไปใกล้คำว่า"แชมป์"มากที่สุดในฤดูกาล 2005/06 ที่อาร์เซนอลเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แต่กลับแพ้ให้กับบาร์เซโลนา 2-1 อย่างน่าเสียดาย
ในเดือนตุลาคม ปี 2004 เขาได้เซ็นสัญญาว่าจะอยู่กับสโมสรไปจนจบฤดูกาล 2007/08 [1] โดยเดวิด ดีน รองประธานสโมสรอาร์เซนอลวางแผนว่าจะยื่นข้อเสนอให้อาร์แซน เวนเกอร์เข้ามาเป็นบอร์ดบริหารสโมสรเมื่อครั้งที่เขาวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีมไปแล้ว [2]
อนาคตอาชีพผู้จัดการทีมของเวนเกอร์เริ่มไม่แน่นอนเมื่อครั้งที่เดวิด ดีนได้ลาออกจากบอร์ดบริหารของอาร์เซนอลเมื่อวันที่ 18 เมษายน ปี 2007 ซึ่งเดวิด ดีนคือหนึ่งในบอร์ดบริหารที่เวนเกอร์ใกล้ชิดมากที่สุดจนเกิดกระแสว่าเวนเกอร์อาจจะไปคุมทีมที่สโมสรอื่นหรืออาจจะวางมือจากวงการฟุตบอล อย่างไรก็ตาม วันที่ 6 กันยายน 2007 อาร์แซน เวนเกอร์ได้ตกลงเซ็นสัญญา 3 ปีฉบับใหม่กับอาร์เซนอล[3] สัญญานี้มีมูลค่าถึง 4 ล้านปอนด์และทำให้แฟนบอลอาร์เซนอลที่เคยคิดว่าเขาจะออกจากสโมสรตอนท้ายฤดูกาลเมื่อสัญญาหมดลงได้มั่นใจขึ้นอย่างมากว่า เขาจะยังอยู่กับอาร์เซนอลต่อไปอีก
[แก้] สไตล์และปรัชญาการทำทีม
เวนเกอร์ได้ชื่อว่าเป็นโค้ชที่ใช้เวลาไปกับการสร้างทีมที่สามารถผสมผสานระหว่างการไล่ล่าแชมป์กับความต้องการที่จะสร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้ชมด้วยเกมรุกเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว[4] เดอะไทมส์ได้กล่าวไว้ว่าในฤดูกาล 2003-04 ที่เขาประสบความสำเร็จนั้น เวนเกอร์สร้างความสำเร็จมาจากการเน้นเกมรุกที่เร้าใจ[5] สไตล์การเล่นของลูกทีมเขานั้นมักจะถูกมองว่าแตกต่างไปจากทีมคู่แข่ง[6] แต่ในทางตรงข้าม ก็มักโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดสัญชาตญาณความเป็น"นักฆ่า"[7] แม้ว่าเวนเกอร์จะนิยมใช้แผนการเล่นแบบ 4-4-2 แต่ต่อมา นับตั้งแต่ปี 2005 เขาก็เริ่มใช้แผนการเล่นแบบ 4-5-1 มากขึ้นเรื่อยๆ โดยทิ้งกองหน้าไว้คนเดยวและเน้นในแดนกลางสนามมากกว่า[8] ซึ่งจะเห็นบ่อยในยามที่ต้องเล่นในสนามที่กว้างขึ้นอย่างเอมิเรตส์สเตเดียม[9]หรือในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่สำคัญๆ[10]
อาร์แซน เวนเกอร์ มีชื่อเสียงอย่างมากในการปั้นเด็กที่มีพรสวรรค์ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักให้สามารถแจ้งเกิดในวงการฟุตบอลได้อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อคราวที่คุมทีมอยู่โมนาโกนั้น เขาซื้อตัว จอร์จ เวียห์ (George Weah) ชาวลิเบียมาจากทีม Tonnerre Yaoundé ในประเทศแคเมอรูน เข้ามาร่วมทีม ต่อมานักเตะรายนี้ก็ได้ครองตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าเมื่อมาอยู่กับเอซีมิลานอีกด้วย และเมื่อคราวที่คุมทีมอาร์เซนอล เวนเกอร์ก็ได้นำนักเตะดาวรุ่งเข้ามามากมาย ซึ่งในขณะที่เขาเซ็นสัญญากับนักเตะเหล่านี้ แทบจะไม่มีใครได้ยินชื่อของพวกเขามาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็น ปาทริก วิเอรา, เชสก์ ฟาเบรกัส, โรบิน ฟาน เพอร์ซี และโคโล ตูเร เขาได้ปั้นนักเตะเหล่านี้ขึ้นมา ช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถเติบโตขึ้นเป็นนักเตะระดับโลกได้ในที่สุด สถิติที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ กองหลังของอาร์เซนอลชุดหนึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการทำสถิติไม่เสียประตูในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกติดต่อกันถึง 10 นัดในฤดูกาล 2005-06 จนสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับบาร์เซโลนาได้ ทั้งๆที่กองหลังชุดนี้มีค่าตัวรวมกันไม่ถึง 5 ล้านปอนด์ด้วยซ้ำไป
แม้ว่า เวนเกอร์จะใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลไปในการเซ็นสัญญานักเตะเข้ามาร่วมทีมอาร์เซนอล แต่สถิติการใช้จ่ายเงินของเขานั้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทีมชั้นนำของพรีเมียร์ชิพทีมอื่นๆ เช่น ในปี 2007 นั้น เขาเป็นผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกคนเดียวที่สามารถทำกำไรได้จากการซื้อขายนักเตะ[11] และจากปีเตอร์ ฮิล-วู้ด ประธานสโมสรของอาร์เซนอลก็เคยกล่าวว่า "โดยปกติแล้ว ตั้งแต่อาร์แซนมาอยู่กับเรา เขาจะใช้เงินเพียงปีละ 4-5 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง"[12] และมีอีกหนึ่งตัวอย่างที่บ่งบอกถึงความสามารถในการหานักเตะของเขาที่ดีก็คือ การนำนิโคลาส์ อเนลกาเข้ามาร่วมทีมจากปารีส แซงต์แชร์แม็งด้วยค่าตัวเพียง 500,000 ปอนด์เท่านั้น แต่ในอีก 2 ปีต่อมาสามารถขายให้กับเรอัลมาดริดได้ถึง 22.3 ล้านปอนด์ เงินก้อนนี้จึงสามารถนำไปซื้อนักเตะคนใหม่ 3 คนเข้ามาเสริมทีมได้ ซึ่งก็ได้แก่ เธียร์รี อองรี, โรแบร์ ปิแรส และซิลแว็ง วิลตอร์ ซึ่งเป็นสามนักเตะที่อยู่ในชุดที่คว้าดับเบิลแชมป์ในฤดูกาล 2001-02 และแชมป์ลีกในฤดูกาล 2003-04
นอกจากเรื่องการปั้นนักเตะโนเนมให้เป็นนักเตะระดับโลกแล้ว เวนเกอร์ยังมีความสามารถในการช่วยให้นักเตะที่มากประสบการณ์แต่กำลังอยู่ในช่วงขาลงสามารถกลับมายิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลได้อีกครั้งหนึ่งที่อาร์เซนอล ไม่ว่าจะเป็น เดนนิส เบิร์กแคมป์ นักเตะที่เซ็นสัญญามาเล่นในลอนดอนเหนือก่อนหน้าที่เวนเกอร์จะเข้ามาคุม 1 ปีก็สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้เมื่อเวนเกอร์เข้ามาบริหารทีม นอกจากนั้น เวนเกอร์ก็ยังเคยนำอดีตเด็กปั้นของเขาที่โมนาโกอย่างเธียร์รี อองรีมาโลดแล่นในวงการฟุตบอลที่อาร์เซนอลจนสามารถเป็นนักเตะระดับโลกได้ในที่สุด โดยสร้างสถิติดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรและยังเคยเป็นกัปตันทีมของอาร์เซนอลอีกด้วย
นอกจากนั้น เวนเกอร์ยังเป็นคนที่เข้ามาปฏิวัติเรื่องการฝึกซ้อมและเรื่องการควบคุมอาหารของทีมอีกด้วย เขาสั่งห้ามนักเตะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสนามซ้อมรวมไปถึงห้ามรับประทานอาหารขยะที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เวนเกอร์เคยสั่งพักอดีตกัปตันทีมโทนี อดัมส์หลังจากพบว่าเขาเป็นโรคติดแอลกอฮอล์ในปี 1996 การสนับสนุนจากเวนเกอร์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อดัมส์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ สามารถคืนฟอร์มเก่งได้และได้เล่นฟุตบอลต่ออีกหลายปี การฝึกซ้อมของเวนเกอร์และการควบคุมอาหารนั้นอาจจะช่วยยืดเวลาการค้าแข้งของสมาชิกคนอื่นๆของแบ็คโฟร์ กองหลังอันแข็งแกร่งของอาร์เซนอลได้อีกหลายปี ไม่ว่าจะเป็นไนเจล วินเตอร์เบิร์น, ลี ดิกซัน และมาร์ติน คีโอว์น (ตอนแรก เวนเกอร์วางแผนว่าจะหาคนมาแทนที่พวกเขา แต่ในตอนหลังเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย)
เวนเกอร์ยังมีส่วนในการออกแบบสนามเอมิเรตส์สเตเดียมของอาร์เซนอลอีกด้วย สนามแห่งนี้เปิดใช้ในปี 2006 ทำให้สนามซ้อมของอาร์เซนอลย้ายมาอยู่ที่ ลอนดอน โคลนีย์ ในที่สุด
[แก้] รางวัลและความสำเร็จ
เวนเกอร์ได้รับการสนับสนุนจากแฟนบอลของอาร์เซนอลอย่างมาก แฟนคลับของสโมสรศรัทธาในความสามารถของผู้จัดการทีมคนนี้และศรัทธาในวิสัยทัศน์ของเขาในระยะยาว แฟนบอลของไอ้ปืนใหญ่มักจะพูดว่า "Arsène Knows" (อาร์แซนรู้) และ "In Arsène We Trust" (เราเชื่ออาร์แซน) ซึ่งเป็นคำพูดที่ยืนยันว่าเขาได้รับความนิยมในหมู่แฟนบอลอย่างมาก แฟนบอลกลุ่มนี้มากจะพูดซ้ำๆและกลายเป็นคำขวัญของฝูงชนที่เอมิเรตส์สเตเดียมไปแล้ว ในพิธีอำลาสนามไฮบิวรีเมื่อฤดูกาล 2005-06 นั้น แฟนบอลได้แสดงความประทับใจในตัวผู้จัดการทีมคนนี้มากด้วยการกำหนด "วันเวนเกอร์" (Wenger Day) ซึ่งตรงกับวันเกิดครบรอบ 56 ปีของเขาคือวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ซึ่งเป็นวันที่มีการแข่งขันกับแมนเชสเตอร์ซิตีพอดี[13]
เดวิด ดีน อดีตรองประธานสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ได้กล่าวว่าเวนเกอร์คือผู้จัดการทีมที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร "อาร์แซนคือคนที่วิเศษมาก เขาทำให้นักเตะหลายต่อหลายคนกลายเป็นนักเตะระดับโลกได้ ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ เราก็ได้เห็นฟุตบอลในแบบฉบับที่ไม่เคยเห็นที่ดาวดวงไหนมาก่อน"[14] เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2007 มีการมองเหรียญทองแดงเกียรติยศให้กับอาร์แซน เวนเกอร์ เช่นเดียวกับที่เคยให้เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เพื่อเป็นการยกย่องคุณความดีของเวนเกอร์ โดยคณะกรรมการบริหารของสโสรฟุตบอลอาร์เซนอลได้มอบรางวัลนี้ให้กับเขาในงานประชุมสามัญประจำปีของสโมสร[15]
เวนเกอร์ได้รับ the Légion d'Honneur เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของฝรั่งเศสในปี 2002 เขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ "OBE" เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการเป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับวงการฟุตบอลสหราชอาณาจักรในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีปี 2003 ต่อมาในปี 2006 ชื่อของเวนเกอร์ได้ถูกจารึกไว้ในหอเกียรติยศแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษเพื่อเป็นการบันทึกความสำเร็จในการเป็นผู้จัดการทีมในอังกฤษ นับว่าเป็นผู้จัดการทีมชาวต่างชาติคนที่สองที่ได้มีชื่อในหอเกียรติยศแห่งนี้ หลังจากที่ดาริโอ กราดิ ชาวอิตาลีเคยทำสำเร็จมาแล้วในการคุมทีมครูว์ อเล็กซานดรา
ในปี 2007 ชื่อของอาร์แซน เวนเกอร์ได้มีนักดาราศาสตร์ชื่อ Ian P. Griffin นำไปตั้งเป็นชื่อดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่มีชื่อว่า 33179 Arsènewenger[16] เนื่องจากนักดาราศาสตร์ผู้นี้หลงไหลในทีมฟุตบอลของผู้จัดการทีมคนนี้มาก
[แก้] เกียรติยศ
[แก้] นักเตะ
[แก้] อาร์ซี สตราบูร์ก
- ชนะเลิศ
- ลีกเอิง (1): 1979
[แก้] ผู้จัดการทีม
[แก้] โมนาโก
- ชนะเลิศ
- โคปเดอฟรองซ์ (1): 1991
- ลีกเอิง (1): 1988
- ผู้จัดการทีมฝรั่งเศสยอดเยี่ยมแห่งปี (1): 1988
- รองแชมป์
- โคปเดอฟรองซ์ (2): 1989, 1992
- ลีกเอิง (2): 1991, 1992
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ (1): 1992
[แก้] นาโงย่า แกรมปัส 8
- ชนะเลิศ
- ซุปเปอร์คัพเจลีก (1): 1996
- ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระจักรพรรดิ (1): 1996
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของเจลีก (1): 1995
[แก้] อาร์เซนอล
- ชนะเลิศ
- พรีเมียร์ลีก (3): 1998, 2002, 2004
- เอฟเอคัพ (4): 1998, 2002, 2003, 2005
- คอมมิวนิตีชิลด์ (4): 1998, 1999, 2002, 2004
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (3): 1998, 2002, 2004
- รองแชมป์
- พรีเมียร์ลีก (5): 1999, 2000, 2001, 2003, 2005
- เอฟเอคัพ (1): 2001
- ลีกคัพ (1): 2007
- คอมมิวนิตีชิลด์ (2): 2003, 2005
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (1): 2006
- ยูฟ่าคัพ (1): 2000
- รางวัลส่วนบุคคล
- โค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี Onze d'Or : (4) 2000, 2002, 2003, 2004
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี สมาคมฟุตบอลอังกฤษ : (3) 1998, 2002, 2004
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน สมาคมฟุตบอลอังกฤษ : 10 ครั้ง
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี LMA : (2) 2001-02, 2003-04
- โค้ชกีฬายอดเยี่ยม สำนักข่าวบีบีซี : (2) 2002, 2004
[แก้] อ้างอิง
- ^ ข่าวเวนเกอร์เซ็นสัญญาใหม่. BBC. เรียกข้อมูลวันที่ 2004-10-27
- ^ Dein: Wenger has job for life. Sky Sports.
- ^ อาร์แซน เวนเกอร์เซ็นสัญญาใหม่. BBC Sport.
- ^ Whyatt, Chris. "Wenger sticks to his guns", BBC Sport, 2008-04-09
- ^ Daniel Finkelstein. "Efficiency drive in defence and attack is proving Arsene Wenger right", The Times, 2007-11-27
- ^ Matthew Syed. "Why Arsene Wenger should be proud rather than cowed", The Times, 2008-04-10
- ^ Jeff Powell. "Make this your final year, Joe", Daily Mail, 2008-04-13
- ^ What is Arsenal's optimal tactical strategy?.
- ^ Evolution of the Arsenal Playing Style.
- ^ Adebayor might not remain a lone Gunner.
- ^ Wenger most 'money wise' manager
- ^ Chairman fears for ageing Gunners. BBC Sport.
- ^ Wenger Day ที่ไฮบิวรี!. Arsenal.com.
- ^ Arsenal sign Wenger with expert timing. Daily Telegraph.
- ^ Arsenal commission bust of Arsène Wenger. Arsenal.com.
- ^ Arsenewenger