ฟรานซ์ โจเซฟ ไฮเดิน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟรานซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn) เป็นคีตกวีชาวออสเตรียในยุคคลาสสิค เกิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1732 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1809 เนื่องจากเป็นคีตกวีในความดูแลของราชสำนัก จึงได้ประพันธ์บทเพลงไว้เป็นจำนวนมาก ได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งซิมโฟนี และ บิดาแห่งสตริงควอเต็ต
นอกจากนั้น ฟรานซ์ โจเซฟ ไฮเดิน ยังเป็นบิดาของ โยฮัน ไมเคิล ไฮเดิน (Johann Michael Haydn) คีตกวีคนสำคัญอีกท่านหนึ่งของออสเตรียอีกด้วย
เนื้อหา |
[แก้] ประวัติ
[แก้] วัยเด็ก
โจเซฟ ไฮเดิน เกิดในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองโรห์โร ประเทศออสเตรีย ใกล้พรมแดนประเทศฮังการี บิดาคือนายมาเธียส ไฮเดิน เป็นช่างทำรถเทียมม้าที่หลงใหลในดนตรี ส่วนมารดาคือนางมาเรีย เป็นแม่ครัวในบ้านของคหบดีผู้ครองเมืองโรห์โร ไฮเดินเป็นบุตรคนที่ 2 จากจำนวนทั้งหมด 12 คน ทั้งบิดาและมารดาของเขาไม่เคยเรียนรู้เรื่องตัวโน้ตมาก่อน แต่มาเธียส บิดาของโจเซฟก็เป็นนักดนตรีโฟล์คที่บรรเลงได้ไพเราะอยู่ไม่น้อยซึ่งได้มาจากการเรียนรู้ ฮาร์ป ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ชีวิตวัยเด็กของเขาจึงเติบโตมากับครอบครัวนักดนตรีอย่างแท้จริง และมักจะมาร้องเพลงด้วยกันกับครอบครัวและกับเพื่อนบ้านอยู่บ่อยๆ[1]
เมื่อไฮเดินอายุได้ 6 ขวบ โยฮันน์ มัธเธียส แฟร้งค์ (Johann Mathias Frank) นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่และเป็นครูสอนดนตรีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งแห่งเมืองไฮน์เบอร์ก (Hainburg) ซึ่งเป็นญาติห่างๆกับบิดาของไฮเดิน เดินทางมาทำธุระที่โรห์โร และแวะมาเยี่ยมครอบครัวไฮเดิน เมื่อเขาได้ยินเด็กน้อยไฮเดินร้องเพลง ก็เกิดความสนใจ จนต้องเอ่ยปากกับบิดาของไฮเดินว่า หากเด็กน้อยคนนี้ได้รับการฝึกฝนอย่างถูกทางแล้วจะเป็นผู้มีชื่อเสียงทีเดียว แฟรงค์ได้เจรจาหว่านล้อมบิดาของไฮเดิน เพื่อขอรับเด็กน้อยไปอยู่ในความอุปการะของเขา โดยสัญญาว่าจะให้การศึกษา และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ด้วยความรักอนาคตของลูกชาย แม้บิดาของเขาจะแสนรัก และอาลัยลูกเพียงใดก็ตาม แต่เนื่องจากบิดามารดาของไฮเดินสังเกตมานานแล้วว่าลูกชายของพวกเขามีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างมากและรู้ว่าหากอยู่ที่เมืองโรห์โรต่อไป เขาคงจะไม่มีโอกาสได้ซึมซับดนตรีอย่างจริงจัง จึงต้องตัดใจมอบลูกชายให้ไปอยู่กับแฟรงค์ เพื่อให้เขาเติบโตเป็นนักดนตรีอย่างแท้จริง[2] ดังนั้น ไฮเดินจึงได้ออกเดินทางกับแฟร้งค์ไปยังเมืองไฮน์เบิร์กซึ่งอยู่ห่างออกไป 7 ไมล์จากบ้าน และจากนั้นเขาก็ไม่เคยได้กลับมาอาศัยอยู่กับบิดามารดาอีกเลย
ชีวิตในบ้านของแฟร้งค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับไฮเดิน ซึ่งเขาต้องตกระกำลำบากกับความหิว[3] และยังต้องทนอับอายขายหน้ากับการใส่เสื้อผ้าที่สกปรกตลอดเวลา[4] อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้อดทนอยู่เพื่อเริ่มเรียนดนตรีที่นั่น และจากนั้น เขาก็สามารถเล่นฮาร์ปซิคอร์ดและไวโอลินได้ จากนั้น ชาวเมืองไฮน์เบิร์กต่างก็สะดุดหูกับโซปราโน่อันแหลมสูงของไฮเดินในคณะประสานเสียงของโบสถ์ ทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังเสียงร้องของไฮเดินจะประทับใจในเสียงของเขา
สองปีต่อมา (ในปี ค.ศ. 1740) เมื่อไฮเดินอายุได้ 8 ขวบ จอร์จ ฟอน โรธเธอร์ (Georg von Reutter) ผู้อำนวยการดนตรีของมหาวิหารเซนต์สตีเฟนในเมืองเวียนนา ได้สนใจในเสียงร้องของไฮเดินมาก อันที่จริงแล้วโรธเธอร์เป็นคนที่จะเดินทางค้นหาเด็กๆนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ที่มีเสียงอันไพเราะอยู่เสมอ ไฮเดินสามารถผ่านการทดสอบเสียงร้องกับโรธเธอร์และจากนั้นก็ได้ย้ายมากรุงเวียนนา อันเป็นที่ทำงานของเขา 9 ปีในฐานะนักร้องประสานเสียงของมหาวิหาร และในสี่ปีหลังสุดก็ได้ร่วมร้องเพลงกับ มิเชล น้องชายแท้ๆของเขาที่นี่อีกด้วย ด้วยความสามารถในการร้องอันเป็นเลิศนี้เอง ทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้านักร้องนำหมู่[5]
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของไฮเดินก็ไม่ต่างกับตอนอยู่กับแฟร้งค์เนื่องจากโรธเธอร์ก็ไม่ได้สนใจว่าไฮเดินได้ทานอาหารครบทุกมื้อหรือเปล่า ทำให้ชีวิตไฮเดินในช่วงนี้นั้นได้แต่เฝ้ารอคอยการออกแสดงหน้าผู้ชมที่มีฐานะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในบางครั้ง คณะนักร้องจะมีโอกาสได้ทานอาหารและเครื่องดื่มที่ผู้มีจิตศรัทธาให้มา[6] นอกจากนั้น โรธเธอร์ก็แทบจะไม่ได้สนใจว่าจะให้นักร้องประสานเสียงของเขาได้รับการศึกษาวิชาดนตรีแต่อย่างใดเลย ถึงกระนั้น มหาวิหารเซนต์สตีเฟนนี้ก็เคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางดนตรีชั้นนำของยุโรปเลยทีเดียว โดยมักจะมีเพลงใหม่ๆจากคีตกวีชั้นนำออกมาแสดงอยู่หลายครั้ง จึงเป็นโอกาสที่ไฮเดินจะได้เรียนดนตรีจากการสังเกตนักดนตรีระดับมืออาชีพของที่นี่ ทำให้ต่อมา หลังจากที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเองที่มหาวิหารแห่งนี้ เขาจึงได้เติบโตเป็นนักดนตรีอาชีพที่มีความสามารถในที่สุด[7]
[แก้] ต่อสู้กับชีวิตนักดนตรีพเนจร
ต่อมาในปี 1749 เมื่อไฮเดินอายุได้ 17 ปี เขาก็ไม่สามารถร้องคอรัสเสียงสูงได้อีกต่อไปเนื่องจากเสียงที่เคยแจ่มใสก็เริ่มแตก เป็นเสียงห้าวเครือ ซึ่งตามกฎเขาจะต้องออกจากโรงเรียน แต่ครูทั้งหลายยังรักเขาอยู่ จึงให้อยู่ต่อไป แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่เขาเห็นหางเปียของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ด้วยความคะนองเขาจึงเอากรรไกรที่ซ่อนไว้มาตัดหางเปียเพื่อน พอเจ้าเด็กน้อยคนนั้นรู้ตัวว่าหางเปียของตัวหายไปก็ร้องเอะอะโวยวายขึ้น เมื่อครูทราบจึงโกรธมาก ไฮเดินจึงต้องออกจากมหาวิหารเซนต์สตีเฟน ด้วยเหตุนี้เอง[8]
จนในที่สุด เขาก็ถูกไล่ออกจากวง ทำให้เขากลายเป็นคนพเนจรไม่มีบ้านอยู่[9] มีชีวิตที่ลำบากมาก ความเป็นอยู่แร้นแค้น แต่ยังโชคดีที่ได้รับความเชื่อเหลือจากโยฮันน์ มิเชล สแปงเกลอร์ (Johann Michael Spangler) ที่ให้ไฮเดินมาอาศัยอยู่ที่ห้องใต้หลังคา ทั้งๆที่ลำพังแล้ว บ้านของสแปงเกลอร์ก็มีคนอาศัยไม่น้อย ไฮเดินได้มาอาศัยอยู่กับสแปงเกลอร์ซักระยะหนึ่งจึงทำให้เขาสามารถเริ่มหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักดนตรีพเนจรได้แล้ว
ในช่วงมรสุมของชีวิตนี้ ไฮเดินทำงานหลากหลายมาก ทั้งครูสอนดนตรี, นักดนตรีร่วมบรรเลงกับนักดนตรีริมถนนยามค่ำคืน, งานเต้นรำและงานพิธีฝังศพเป็นครั้งคราว โดยเป็นนักร้องบ้าง นักดนตรีบ้าง ได้เงินวันละ ๒-๓ ฟลอรินส์ พอจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆ[10] ในช่วงนี้เองเขาได้แต่งเพลง Serenade มาสำหรับบรรเลงในวง เพลงแรกของไฮเดินนี้ ถ้าใครได้ยินเป็นต้องหยุดยืนฟังให้จบ เพราะมีความไพเราะจับใจผู้ฟังอย่างยิ่ง ปรากฏเป็นที่นิยมชมชอบของผู้ฟังทั้งหลาย[11] จนในวันหนึ่ง นิโคล่า พอร์พอร่า คีตกวีชื่อดังชาวอิตาลีมาได้เพลงนั้นเข้าก็เกิดความสนใจ พอรู้ว่าไฮเดินเป็นผู้แต่งเพลงนั้นก็รู้สึกสนใจในตัวไฮเดินมากและได้เอ่ยปากชักชวนไฮเดินให้มาอยู่กับเขา ไฮเดินจึงได้มาเป็นเลขานุการส่วนตัวและผู้ช่วยขับร้องของนิโคล่า พอร์พอร่า ตั้งแต่นั้นมา ซึ่งในภายหลัง เขากล่าวว่านี่เป็นที่ที่เขาได้เรียนรู้"รากฐานของการประพันธ์เพลงที่แท้จริง"อีกด้วย[12] นิโคล่า พอร์พอร่า ได้สอนให้ไฮเดินประพันธ์เพลง เรียนรู้ดนตรีทั้งทางทฤษฎีและทางปฏบัติ และนอกจากนั้นยังแนะนำให้เขารู้จักกับแวดวงสังคมชั้นสูงอีกด้วย
เมื่อครั้งที่ไฮเดินเป็นนักร้องประสานเสียงอยู่นั้น เขาไม่เคยได้เรียนรู้ทฤษฎีดนตรีและการประพันธ์เพลงเลยและกลายเป็นช่องว่างในการเข้าถึงศาสตร์นี้อย่างมาก ดังนั้น เพื่อความเข้าใจในศาสตร์นี้ เขาจึงเริ่มศึกษาหลักการแต่งเพลงจากหนังสือ Gradus ad Parnassum ของโยฮันน์ โจเซฟ ฟักซ์ และศึกษาผลงานของคาร์ล ฟิลิป เอ็มมานูเอล บาชอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งต่อมาเขาได้ถือว่าเป็นแนวทางสำคัญของการแต่งเพลงของเขาเลยทีเดียว[13]
ในขณะที่ทักษะของไฮเดินกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เขาก็เริ่มที่จะเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นจากผลงานการประพันธ์โอเปราเพลงแรกของเขา นั่นคือ Der krumme Teufel หรือ The Limping Devil ซึ่งประพันธ์ให้กับนักเขียนการ์ตูนโยฮัน โจเซฟ เฟลิกซ์ ครูซ เจ้าของฉายา "เบอร์นาร์ดอน" จากนั้น ผลงานเพลงของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในปี 1753 แต่หลังจากนั้นก็เงียบไปเนื่องจากถูกเซนเซอร์[14]
ไฮเดินได้สังเกตว่าผลงานเพลงที่เขาแต่งขึ้นฟรีๆนั้นได้รับการนำไปเผยแพร่และจำหน่ายในร้านขายเพลงในท้องถิ่นอีกด้วย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจใดๆ[15]
หลังจากที่เขากำลังมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆนั้น ในที่สุด ไฮเดินก็ได้มาอยู่ในสังคมชั้นสูง อันเป็นช่วงที่สำคัญยิ่งในช่วงชีวิตนักประพันธ์ของเขา เคาท์เทส ธัน (Countess Thun) ได้ฟังบทประพันธ์ของไฮเดินเพลงหนึ่งแล้วประทับใจมาก จึงได้เรียกตัวเขาและว่าจ้างให้มาเป็นครูสอนร้องเพลงและคีย์บอร์ดส่วนตัวของเธอ และบารอน คาร์ล โจเซฟ ฟูร์นเบิร์ก ( Carl Josef Fürnberg) ก็ได้ว่าจ้างไฮเดินและให้มาอยู่ที่ Weinzierl คฤหาสน์ในชนบทของเขา ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้ประพันธ์บทเพลงควอเต็ตเครื่องสายบทแรกๆ ต่อมา ฟูร์นเบิร์กได้แนะนำให้ไฮเดินรู้จักกับท่าน เค้านท์ ฟอน มอร์ซิน หลังจากนั้นในปี 1757 เค้านท์ ฟอน มอร์ซิน ก็ได้ว่าจ้างไฮเดินที่เมือง Lukavec ซึ่งเป็นการทำงานเต็มเวลาครั้งแรกของเขา
[แก้] อาชีพนักประพันธ์
งานหลักๆของไฮเดินภายใต้การว่าจ้างของ เค้านท์ ฟอน มอร์ซิน คือ Kapellmeister หมายถึงผู้กำกับดนตรีนั่นเอง (มาจากภาษาเยอรมัน) เขาเป็นคนคุมวงออเคสตราเล็กๆวงหนึ่งและที่นี่เองที่เขาได้ประพันธ์ซิมโฟนีบทแรก ในกุญแจเสียง D major เพื่อใช้ในการบรรเลงของวงนี้ ในขณะที่เขามีอายุได้ 27 ปีพอดี อันถือว่าเป็นผลงานซิมโฟนีชิ้นแรกของโลก เขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น"บิดาแห่งซิมโฟนี" (ก่อนหน้านี้ คำว่า ซิมโฟนี ไม่เคยปรากฏในโลกของดนตรีเลย)
จากนั้นในปี 1760 ไฮเดินได้ตกหลุมรักลูกศิษย์คนหนึ่งจากจำนวนสองพี่น้องที่มาเรียนดนตรีกับเขานั่นก็คือ เธเรซี เคลเลอร์ (Therese Keller) ซึ่งเป็นลูกสาวของช่างตัดผม[16] หลังจากที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงานเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้ขอเธอแต่งงาน แต่เนื่องจากหญิงผู้นี้จะต้องเข้าคอนแวนต์ และต่อมาทางฝ่ายบิดาของผู้หญิงก็สนับสนุนให้แต่งงานกับพี่สาวที่มีอายุแก่กว่าเธอสี่ปี มีชื่อว่ามาเรีย อานนา เคลเลอร์ (Maria Anna Aloysia Apollonia Keller (1729–1800)) ไฮเดินจึงยอมรับที่จะแต่งงาน แต่ทั้งคู่ไม่มีความสุขกับชีวิตสมรส[17] ทั้งนี้ก็เพราะมีอะไร ๆ หลายอย่างที่ไม่สามารถจะไปกันได้ จนในที่สุดต้องแยกทางกันในอีกไม่กี่ปีต่อมาโดยไม่มีบุตรด้วยกัน และในปีนี้ เขาได้ประพันธ์ ซิมโฟนี่หมายเลข 2 ในกุญแจเสียง C Major ขึ้นมาอีกด้วย
ในปี 1761 เค้านท์ ฟอน มอร์ซิน ได้เลิกวงดนตรี แต่โจเซฟ ไฮเดินก็มาได้ตำแหน่งงานผู้ช่วยหัวหน้าวงในครอบครัวคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดครอบครัวหนึ่งในยุโรป นั่นคือครอบครัวของเจ้าชายปอล แอนตัน เอสเตอร์ฮาซี (Paul Anton Esterházy)แห่งฮังการีในพระราชวัง Schloss Esterházy เมือง Eisenstadt อยู่นอกกรุงเวียนนา 30 ไมล์ อันเป็นของตระกูลเจ้านายขั้นสูงสุดรองจากกษัตริย์ในสมัยนั้น[18] ในปีนี้เขาได้ประพันธ์ ซิมโฟนี่หมายเลข 3 ในกุญแจเสียง G Major, หมายเลข 4 ในกุญแจเสียง D Major, หมายเลข 5 ในกุญแจเสียง A Major และเพลงอื่นๆ อีกมาก[19] ต่อมา เจ้าชายปอล แอนตัน เอสเตอร์ฮาซีได้สิ้นพระชนม์ลง และเจ้าชายนิโคลัส เอสเตอร์ฮาซี พระอนุชาผู้ได้รับสมญานามว่า "The Magnificent" ได้เป็นผู้สืบทอดรัชทายาท ได้สร้างพระราชวัง Eszterháza ขึ้นราวทศวรรษที่ 1760 ไฮเดินได้ทำงานอยู่ที่นั่นในตำแหน่งหัวหน้าวงเนื่องจากหัวหน้าวงคนก่อนเสียชีวิตไป เขาทำงานนานถึงสามสิบปี ซึ่งเป็นงานอันทรงเกียรติ ตลอดเวลาเขาจะได้สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์อย่างสวยงาม ดำรงตำแหน่งที่มีมาแต่โบราณของตระกูลนี้ ไฮเดินมาหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมายหลายด้าน เป็นทั้งนักประพันธ์ นักควบคุมวงออเคสตรา บรรเลงแชมเบอร์มิวสิค (chamber music)ร่วมกับผู้อุปการะ และสุดท้ายคือการควบคุมวงโอเปร่า ถึงแม้งานจะค่อนข้างหนัก แต่ไฮเดินก็คิดว่าเป็นงานของศิลปินที่สร้างโอกาสให้กับชีวิตของเขาได้ดีมาก เจ้าชายแห่ง Esterházy ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีที่ประทับใจฝีมือของไฮเดินมาก และอนุญาตให้เขาสามารถบรรเลงเพลงวงออเคสตราของพระองค์เองได้อย่างอิสระในแต่ละวัน
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว เขาได้ประพันธ์บทเพลงไว้มากมาย ทั้งซิมโฟนี ควอร์เต็ตเครื่องสาย คอนแชร์โต้ โซนาต้าสำหรับเครื่องดีด บทเพลงสำหรับบาริโทน โอเปร่า บทเพลงเพื่องานรื่นเริง รวมถึงบทเพลงทางศาสนา ความโด่งดังของโจเซฟ ไฮเดินเป็นที่ขจรขจายไปทั่วทวีปยุโรป นักดนตรีในวงของเขาได้ตั้งฉายาให้เขาว่า คุณพ่อไฮเดิน เนื่องจากไฮเดินได้ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี
ยิ่งนานไป ไฮเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าเหงาและโดดเดี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคราวต้องมาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในแต่ละปีที่พระราชวัง Esterháza ซึ่งห่างไกลจากกรุงเวียนนา แทนที่จะได้อยู่ที่พระราชวัง Eisenstadt ซึ่งอยู่ใกล้กรุงเวียนนามากกว่า[20] ไฮเดินจึงอยากจะกลับไปยังเวียนนาซักระยะเนื่องจากเขามีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่นมากมาย[21]
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นคือมิตรภาพกับ มาเรีย แอนนา วอน เกนซิงเกอร์ (Maria Anna von Genzinger) ผู้เป็นภรรยาของนายแพทย์ส่วนพระองค์ของเจ้าชายนิโคลัสในกรุงเวียนนา ซึ่งหญิงคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับบทประพันธ์ของเขาในปี 1789 อย่างมาก ไฮเดินได้เขียนจดหมายถึงมาดามเกนซิงเกอร์บ่อยมาก โดยมักจะพรรณาถึงความเหงาและโดดเดี่ยวที่ Eszterháza และพรรณาถึงช่วงเวลาแห่งความสุขของโอกาสเล็กๆน้อยๆที่เขาได้ไปเจอเธอที่เวียนนา นอกจากนั้น ไฮเดินยังได้เขียนถึงเธอบ่อยมากเมื่อคราวที่เขาเดินทางไปยังลอนดอน ข่าวการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของมาดามเกนซิงเกอร์ในปี 1973 นั้นทำให้ไฮเดินเสียใจอย่างมาก โดยเขาได้ประพันธ์เพลงบรรยายความรู้สึกของเขาเอาไว้ใน F minor variations สำหรับเปียโน ฮอบ XVII:6 อาจจะเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงอารมณ์เศร้าต่อการจากไปของเธอมากที่สุดก็เป็นได้[22]
นอกจากมาดามเกนซิงเกอร์แล้ว ในปี 1781 โจเซฟ ไฮเดินได้ผูกมิตรกับโมซาร์ท สหายต่างวัย แม้ว่าทั้งคู่จะมีอายุห่างกันกว่า 24 ปี ทั้งคู่มีอิทธิพลทางดนตรีซึ่งกันและกัน จนเป็นเพื่อนสนิทกัน ผู้คนในสมัยนั้นมักจะเห็นทั้งคู่เล่นสตริงควอเต็ตด้วยกันบ่อยครั้ง ฝ่ายโมซาร์ทเห็นว่าไฮเดินมีอัจฉริยะภาพในทางดนตรี และฝ่ายไฮเดินก็มองโมซาร์ทว่า โมซาร์ทเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
- " ฉันพึ่งเคยเห็นความอัจฉริยะทางดนตรีซึ่งในยุคไม่มีใครเทียบได้ จนเขียนจดหมายส่งไปหาพ่อของโมซาร์ทและยกย่องโมซาร์ทว่า "โมซาร์ทนั้นเปรียบเสมือนเป็นบุตรที่พระเจ้าประทานพรมาให้และสร้างความรื่นเริงแก่มวลชน ซึ่งข้าพเจ้าเทียบไม่ติดเลยกับโมซาร์ท ข้าเลยต้องคุกเข่าให้แก่โมซาร์ท ซึ่งเหนือกว่าข้าเสียอีกด้วยซ้ำ" "
ไฮเดิน
[แก้] เดินทางไปลอนดอน
ในปี 1790 หลังจากที่เจ้าชายนิโคลัสสิ้นพระชนม์และมีเจ้าชายพระองค์ใหม่ซึ่งไม่ทรงโปรดดนตรีมาดำรงตำแหน่งแทน เจ้าชายพระองค์นี้ได้ยกเลิกสถาบันดนตรีทั้งหมดและจ่ายเงินบำนาญให้กับไฮเดินแทน หลังทางที่ไม่มีพันธะสัญญาใดๆแล้ว ไฮเดินจึงสามารถตอบตกลงข้อเสนอที่มีค่าตอบแทนอย่างงามจากโยฮันน์ ปีเตอร์ โซโลมอน (Johann Peter Salomon) ผู้อำนวยการแสดงชาวเยอรมันได้ โดยเป็นข้อเสนอให้ไฮเดินเดินทางไปยังประเทศอังกฤษและทำหน้าที่ควบคุมวงซิมโฟนีใหม่และวงออเคสตราขนาดใหญ่
การไปเยือนอังกฤษทั้งสองครั้ง คือในปี 1791-1792 และ 1794-1795 ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางดนตรีให้แก่ไฮเดิน[23] โดยจัดพิธีอย่างใหญ่โตและนายกเทศมนตรีเป็นผู้มอบให้ นับเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตของเขาที่ได้รับเกียรติอันนี้[24]
การเดินทางไปเยือนอังกฤษนี้ ไฮเดินได้ประพันธ์ผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในวงการดนตรี ซึ่งได้แก่ Surprise, Military, Drumroll และ London symphonies, ควอเต็ต Rider, และเปียโนทริโอ Gypsy Rondo ความผิดพลาดครั้งเดียวของเขาในอาชีพนี้ก็คือการประพันธ์โอเปร่าเพลง Orfeo ed Euridice หรือที่รู้จักกันในชื่อของ L'Anima del Filosofo ที่ไฮเดินได้สัญญาว่าจะประพันธ์ขึ้น แต่ก็ไม่ได้นำมาออกแสดงเนื่องจากถูกระงับโดยกลุ่มผู้ก่อกวน
ขณะนี้ไฮเดินอยู่ในกรุงลอนดอนก็ได้รับข่าวการมรณกรรมของโมสาร์ท ทำให้เขาโศกเศร้าสะเทือนใจอย่างมากเพราะโมสาร์ทอายุยังน้อยและกำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง ไฮเดินพำนักอยู่ในลอนดอนจนกระทั่งถึงกลางปี 1792 จึงได้เดินทางกลับกรุงเวียนนาพร้อมด้วยงานที่แต่งใหม่เป็นจำนวนถึง 768 หน้า และได้เงิน 24,000 ฟลอรินส์ (ประมาณ 2,400 ดอลล่าร์สหรัฐ)[25] ซึ่งนับว่าเป็นรายได้ที่งามพอควร ดังนั้น ฐานะทางการเงินของเขาจึงถือว่ามั่นคงทีเดียว
ด้วยเกียรติประวัติอันดีงามที่ไฮเดินได้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตน Count Harrach จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นเกียรติแก่ไฮเดิน ที่เมืองโรห์โร บ้านเกิดของเขา เมื่อปี 1793
ในขณะที่ไฮเดินจะเดินทางไปที่กรุงลอนดอน จึงผ่านกรุงบอนน์ และได้พบกับเบโทเฟน เมื่อได้ฟังเบโทเฟนเล่นเปียโนแล้วก็กล่าวว่า “เด็กคนนี้มีความสารถสูง” ต่อมาเเบโทเฟนก็ไปพบไฮเดน พร้อมกับนำเพลงต่าง ๆที่เขาแต่งให้ไฮเดินดูด้วย พอไฮเดินดูรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งและกล่าวกับเบโทเฟนว่า “ถ้าเธอไปหาฉันที่เวียนนา ฉันจะสอนให้” ดังนั้น ในปี 1792 เขาเดินทางไปยังกรุงเวียนนาอีกเป็นครั้งที่ 2 และไปเรียนดนตรีกับไฮเดินอยู่เกือบปี[26] ในตอนแรกเขามีความนิยมชมชอบในตัวไฮเดินซึ่งเป็นครู แต่ต่อมา เวลาเรียนดนตรีกับไฮเดินนั้น เบโทเฟนมักจะมีความคิดแย้งกับไฮเดิน เพราะว่า ทฤษฏีของไฮเดินนั้นดูจู้จี้และขี้บนเกินไป และฝ่ายไฮเดินไม่พอใจกับศิษย์มากเท่าใดนั้นเพราะว่า เบโทเฟนเป็นคนหัวแข็ง ไม่ฟังอาจารย์สอน และไฮเดินก็ไม่ชอบเพลงทริโอของเบโทเฟนมากนัก เบโทเฟนต้องแอบไปเรียนการแต่งเพลงกับโจฮันน์ จอร์จ อัลเบรชสเบอร์เกอร์ (Johann George Albrechsberger) อยู่ 2 ปี เบโทเฟนได้เก็บเป็นความลับมานานจนไฮเดินรู้ ความลับแตก ไฮเดินโกรธมากเพราะว่าเขาไม่เคยสนใจไฮเดินเลย เบโทเฟนเคืองจัด ตะวาดด้วยความไม่มียั้งคิดออกมาว่า "แล้วทำไมจะให้ฉันต้องดำเนินทฤษฏีดนตรีแบบแผนเก่า ๆ ไปอีกด้วย ฉันมีสไตล์ของฉัน" และความสัมพันธ์ของไฮเดินและเบโทเฟนต้องแยกจากกัน แต่ไฮเดินก็คิดว่า เบโทเฟนจะมีความคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะ เขาถือว่าสอนศิษย์แล้ว ก็คือว่า ศิษย์มีครูก็แล้วกัน
[แก้] ชีวิตบั้นปลายที่เวียนนา
ในปี 1795 เขาจึงได้กลับมาตั้งรกรากในบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งบริเวณชานเมือง Gumpendorf ของกรุงเวียนนา และหันมาประพันธ์บทเพลงออเคสตราและคอรัสสำหรับศาสนาเป็นส่วนใหญ่ โดยรวมไปถึงบทสวดอมตะสองบท (The Creation และ The Seasons) และบทเพลงสดุดีครอบครัวเอสเตอร์ฮาซี่ 6 เพลง ซึ่งต่อมาได้ทำให้เจ้าชายที่ไม่ทรงโปรดดนตรีสนใจดนตรีมากยิ่งขึ้น ไฮเดินยังได้ประพันธ์เพลงสำหรับเครื่องดนตรีบางชนิดโดยเฉพาะอีกด้วย เช่น ทรัมเป็ตคอนแซร์โต และ9 เพลงสุดท้ายของเขาก็เป็นซีรี่ส์สตริงควอเต็ตยาวของเขา รวมไปถึงควอเต็ต Fifths, Emperor และ Sunrise ด้วย
ในปี 1802 ไฮเดินต้องหยุดการประพันธ์ผลงานเพลง เนื่องด้วยความเหนื่อยล้าและป่วยหนัก เพราะตรากตรำทำงานหนักมากเกินไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา และซึ่งก็ถือว่าเป็นงานที่ยากสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เนื่องจากไฮเดินนั้นจะคิดไอเดียใหม่ๆในการประพันธ์เพลงออกมาได้ตลอดเวลา แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้เลย ไฮเดินได้รับการดูแลจากบรรดาบริวารของเขาเป็นอย่างดี เขาได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติมากมายและมีแขกมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาหาในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา แต่ชีวิตช่วงนี้ก็ไม่ได้เป็นช่วงที่มีความสุขสำหรับเขานัก
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ปี 1809 อาการป่วยได้คุกคามจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ เขาได้ขอร้องให้ใครก็ได้ช่วยพยุงเขาไปที่เปียโนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเขาเล่นเพลง Gott erhalte Franz den Kaiser ที่เขาประพันธ์ด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 1797 เพื่อแสดงถึงความรักชาติ[27]และเป็นเกียรติแก่จักรพรรดิ ฟร้านซ์ ที่ 2 (Emperor Franz II)เนื่องในวันพระราชสมภพ[28] เขาเล่นเพลงนี้พร้อมแก้ไขไปด้วยกันทั้งหมด 3 ครั้ง ก่อนที่เมโลดี้ของเพลงนี้จะได้กลายมาเป็นเพลงชาติของออสเตรียและเยอรมนีในเวลาต่อมา
จากนั้นไม่นาน ไฮเดินก็เสียชีวิตลงเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม ปี 1809 สิริรวมอายุได้ 77 ปี หลังจากที่กรุงเวียนนาถูกกองทัพฝรั่งเศสภายใต้การนำของจักรพรรดินโปเลียนเข้ายึดครองไม่นานนัก คำสั่งเสียสุดท้ายของเขานั้นดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่บอกให้บริวารของเขาใจเย็นลงและมีความอุ่นใจมากขึ้นในคราวที่ลูกกระสุนปืนใหญ่ตกใกล้ๆละแวกบ้านของเขา [29] ศพของไฮเดินนั้นดูไม่น่าชมเท่าไรนัก เป็นต้นว่าศีรษะหายไป โดยที่ไม่มีใครพบศีรษะของเขาอีกเลย
สองสัปดาห์ต่อมา ทหารฝรั่งเศสได้มีการจัดพิธีฝังศพให้เขาอย่างสมเกียรติเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ปี 1809 ที่โบสถ์สกอตเทนเคิร์ช (Schottenkirche) กรุงเวียนนา ซึ่งได้มีการบรรเลงเพลงสวด K.626 ของโมสาร์ทให้กับดวงวิญญาณของเขาด้วย จึงมีคนเรียกเขาโดยทั่วไปว่า คุณพ่อไฮเดิน(Papa Haydn) เมื่อไฮเดินเสียชีวิตไปแล้ว เขาได้ทิ้งมรดกทางดนตรีไว้ให้แก่โลกมากมาย ทั้งซิมโฟนี หมายเลข 104 อันโด่งดัง, เพลง Stage works 16 เพลง, Overtures 16 เพลง, สตริงควอเต็ต 85 เพลง, คอนเซอร์โตจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีเพลงเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ อีกมากมายหลายร้อยเรื่อง[30]
[แก้] ผลงาน
- โอตาริโอหลายบท เป็นต้นว่า พระเจ้าสร้างโลก (Hob. XXI:2) และฤดูกาล (Hob. XXI:3)
- เพลงสวดมิสซา 14 บท รวมถึงมิสซา เนลสัน
- ซิมโฟนี 104 บท รวมถึงซิมโฟนีหมายเลข 103 ที่โด่งดัง
- บทเพลงสำหรับบรรเลงด้วยวงควอเต็ตเครื่องสายอีก 84 บท รวมถึง ควอเต็ต โอปุสที่ 76 หมายเลข 2 อันโด่งดัง
- ทริโอ 31 บทสำหรับบรรเลงกับเปียโน
- โซนาต้าสำหรับเปียโน 60 บท
[แก้] อ้างอิง
- ^ Dies 1810, 80–81
- ^ [1]
- ^ Griesinger 1810, 9
- ^ Dies 1810, 82
- ^ [2]
- ^ Dies 1801, 87
- ^ Robbins Landon and Jones 1988, 27
- ^ [3]
- ^ Geiringer, 27
- ^ [4]
- ^ [5]
- ^ Larsen 1980, 8
- ^ Geiringer, 30
- ^ Geiringer 30–2
- ^ Griesinger 1810, 15
- ^ [6]
- ^ See, e.g., Geiringer 1982, 36–40
- ^ [7]
- ^ [8]
- ^ Geiringer 1982, 60
- ^ รายละเอียดดูที่ Geiringer 1982, Chapter 6
- ^ Geiringer 1982, 316, citing Robbins Landon
- ^ [9]
- ^ [10]
- ^ [11]
- ^ [12]
- ^ Geiringer 1982, 161–2
- ^ [13]
- ^ Geiringer 1982, 189
- ^ [14]
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
- pianobleu.com ชีวประวัติและผลงานของไฮเดิน (ภาษาฝรั่งเศส)
- infopuq.uquebec.ca ชีวประวัติ (ภาษาฝรั่งเศส)
- ชีวประวัติจาก www.musicologie.org (ภาษาฝรั่งเศส)
- แคตตาล็อกรวบรวมผลงานของไฮเดินฉบับสมบูรณ์ (ภาษาฝรั่งเศส)
- บ้านของไฮเดินที่ไอเซลสตัดต์์ (ภาษาฝรั่งเศส)
- รวมผลงานของไฮเดิน (ภาษาอังกฤษ)