See also ebooksgratis.com: no banners, no cookies, totally FREE.

CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ - วิกิพีเดีย

เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์
เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์

เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ (Princess Victoria of Hesse and by Rhine) (พระนามเต็ม วิกตอเรีย อัลเบอร์ตา เอลิซาเบธ มาธิลด์ มารี; 5 เมษายน พ.ศ. 2406 - 24 กันยายน พ.ศ. 2493) และต่อมา ทรงดำรงพระยศเป็น วิกตอเรีย เม้านท์แบ็ตเต็น มาร์ชเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็น (Victoria Mountbatten, Marchioness of Milford Haven) ทรงเป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ของแกรนด์ดยุคลุดวิกที่ 4 แห่งเฮสส์และไรน์ และ เจ้าหญิงอลิซแห่งสหราชอาณาจักร

พระชนนีของพระองค์สิ้นพระชนม์ขณะที่พระขนิษฐาและพระอนุชายังทรงพระเยาว์ จึงทำให้ทรงมีภาระความรับผิดชอบต่อทุกพระองค์ก่อนเวลาอันควร พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายหลุยส์แห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก พระญาติชั้นที่หนึ่งซึ่งทรงรับราชการอยู่ในราชนาวีแห่งอังกฤษด้วยความรักและทรงมีชีวิตสมรสในสถานที่ต่างๆ ของทวีปยุโรป อันเป็นสถานที่ปฏิบัติราชการในราชนาวีของพระสวามี และได้เสด็จเยี่ยมพระประยูรญาติด้วย

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เจ้าหญิงและพระสวามีทรงสละพระอิสริยยศเยอรมันและใช้ราชสกุลที่ฟังดูเป็นอังกฤษว่า เมานท์แบ็ตเต็น พระขนิษฐาสองพระองค์ซึ่งได้อภิเษกสมรสเข้าไปยังพระราชวงศ์รัสเซียทรงถูกปลงพระชนม์โดยกลุ่มปฏิวัติคอมมิวนิสต์ พระองค์ทรงมีทัศนคติแบบเสรีนิยม เปิดเผย ชอบปฏิบัติ และฉลาด

นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงเป็นพระอัยยิกาของเจ้าฟ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ พระราชสวามีในสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 อีกด้วย

เนื้อหา

[แก้] ชีวิตในวัยเยาว์

เจ้าหญิงวิกตอเรียประสูติในวันอีสเตอร์ปราสาทวินด์เซอร์ โดยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระอัยยิกาได้เสด็จมาประทับอยู่ด้วย พระองค์ทรงเข้ารับศีลจุ่มตามแบบนิกายลูเธอรันภายในอ้อมพระกรของสมเด็จพระราชินีนาถในวันที่ 27 เมษายน[1] พระองค์ทรงมีชีวิตในวัยเยาว์ที่เมืองเบสซุนเกิน ประเทศเยอรมนี เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 3 พรรษา ครอบครัวของพระองค์ได้ย้ายไปประทับยังพระราชวังใหม่ เมืองดาร์มสตัดท์ ซึ่งเจ้าหญิงประทับในห้องเดียวกับเจ้าหญิงเอลลา พระขนิษฐาจนกระทั่งเจริญพระชนม์เข้าสู่วัยดรุณี ในช่วงการบุกแคว้นเฮสส์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2409 พระองค์พร้อมด้วยเจ้าหญิงเอลลา พระขนิษฐาทรงถูกส่งไปยังประเทศอังกฤษเพื่อไปประทับกับพระอัยยิกาจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลงโดยการรวมแคว้นเฮสส์เป็นส่วนหนึ่งของปรัสเซีย[2] พระองค์ทรงได้รับการศึกษาในแบบส่วนพระองค์ถึงในระดับมาตรฐานที่สูงมาก และยังทรงเป็นนักอ่านหนังสืออยู่ตลอดพระชนม์ชีพอีกด้วย[3]

ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี พ.ศ. 2413 พระองค์จำได้ว่าในขณะทรงช่วยทำซุปอยู่ในครัวกับพระชนนี ซึ่งทรงถูกซุปร้อนลวกที่แขน โรงพยาบาลสำหรับทหารได้ตั้งขึ้นอยู่ในเขตพระราชวังและท่ามกลางความหนาวเหน็บของฤดูหนาว[4] เมื่อปี พ.ศ. 2415 เจ้าชายฟรีดริช วิลเฮล์มแห่งเฮสส์และไรน์ พระอนุชาชันษา 18 เดือนทรงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเฮโมฟีเลีย การวินิจฉัยดังกล่าวสร้างความตกตะลึงแก่ราชวงศ์ทั่วทั้งทวีปยุโรป เนื่องจากว่าเป็นเวลายี่สิบปีมาแล้วที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีประสูติกาลเจ้าชายเลโอโพลด์ ดยุคแห่งออลบานี พระราชโอรสที่เป็นโรคเฮโมฟีเลีย เป็นการชี้ให้เห็นครั้งแรกว่าความผิดปกติของการหลั่งเลือดในพระราชวงศ์เป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม[5] ในปีต่อมา "เจ้าชายฟริตตี้" ทรงตกลงมาจากพระบัญชรลงสู่บันไดหินและสิ้นพระชนม์ในที่สุด นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งแรกในหลายๆ ครั้งที่รุมเร้าเจ้าหญิงวิกตอเรีย

เมื่อปี พ.ศ. 2421 เจ้าหญิงวิกตอเรียทรงได้รับเชื้อโรคคอตีบ เจ้าหญิงเอลลาทรงย้ายออกจากห้องทันที พระองค์ทรงเป็นสมาชิกในครอบครัวพระองค์เดียวที่รอดพ้นจากโรคดังกล่าว พระชนนีได้พยาบาลดูแลเจ้าหญิงวิกตอเรียและสมาชิกพระองค์อื่นๆ อยู่เป็นเวลาหลายวัน และในที่สุดเจ้าหญิงมารี พระขนิษฐาองค์เล็กของเจ้าหญิงได้สิ้นพระชนม์ลง เมื่อครอบครัวดูเหมือนว่าอาการดีขึ้น พระชนนีของเจ้าหญิงวิกตอเรียเริ่มประชวร พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันครอบรอบการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายอัลเบิร์ต[6] ในฐานะพระธิดาองค์ใหญ่ เจ้าหญิงวิกตอเรียทรงรับหน้าที่เหมือนเป็นมารดาให้กับพระโอรสและธิดาองค์เล็กๆ และเสด็จเคียงข้างพระชนก[7] พระองค์ทรงเขียนว่า "การสิ้นพระชนม์ของพระมารดาเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ ช่วงวัยเด็กของเราจบสิ้นลงพร้อมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพราะว่าเราได้กลายเป็นพี่ใหญ่สุดและมีความรับผิดชอบมากที่สุด"[8]

[แก้] อภิเษกสมรส และ ครอบครัว

ในการรวมตัวกันของสมาชิกในพระราชวงศ์ เจ้าหญิงวิกตอเรียทรงพบกับพระญาติชั้นที่หนึ่งของพระองค์อยู่เป็นประจำคือ เจ้าชายหลุยส์แห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก เจ้าชายจากรัฐเยอรมันเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งทรงเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นชาวอังกฤษและรับราชการเป็นทหารอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ในช่วงฤดูหนาวปี พ.ศ. 2425 ทั้งสองพระองค์ทรงพบกันอีกครั้งที่เมืองดาร์มสตัดท์และหมั้นกันในฤดูร้อนปีถัดมา[9]

หลังจากการเลื่อนออกไปเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ อันเนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเลโอโพลด์[10] เจ้าหญิงได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายหลุยส์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2427 ณ เมืองดาร์มสตัดท์ พระชนกของพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการเลือกอภิเษกสมรส โดยในมุมมองของพระชนก เจ้าชายหลุยส์ไม่ทรงร่ำรวยเงินทองมากนักและจะพรากเจ้าหญิงไปจากการเป็นเพื่อนเคียงข้าง เพราะทั้งสองพระองค์จำเป็นต้องเสด็จไปประทับอยู่ในต่างแดนที่ประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงวิกตอเรียทรงเป็นตัวของตัวเองและไม่ได้ทรงใส่พระทัยกับความไม่พอใจของพระชนกมากนัก[11] ยิ่งน่าแปลกใจไปกว่านั้น พระชนกของเจ้าหญิงวิกตอเรียทรงอภิเษกสมรสอย่างลับๆ ในตอนเย็นวันเดียวกันกับอเล็กซานดรีน เด โคเลมีเน นางสนมที่ไร้ยศศักดิ์ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของอุปทูตชาวรัสเซียประจำเมืองดาร์มสตัดท์ การอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญชนที่หย่าร้างมาแล้วสร้างความตกใจกับพระราชวงศ์อื่นๆ ในทวีปยุโรป และด้วยความกดดันทางครอบครัวและการทูต จึงทำให้ต้องทรงยกเลิกการอภิเษกสมรส[12]

เจ้าหญิงวิกตอเรียและเจ้าชายหลุยส์ ทรงมีพระโอรสและธิดารวม 4 พระองค์ คือ

พระสวามีของเจ้าหญิงทรงปฏิบัติราชการทหารอยู่ในราชนาวีอังกฤษและทั้งสองพระองค์ก็ได้ประทับอยู่ในตำหนักหลายที่เมืองเชสเตอร์ มณฑลซัสเซ็กส์ เมืองวอลตัน-ออน-เทมส์ และปราสาทไฮลิเก็นแบร์ก เมืองยูเก็นไฮม์ เมื่อเจ้าชายหลุยส์ทรงรับราชการอยุ่ในกองทัพเรือเมดิเตอร์เรเนียน เจ้าหญิงก็ยังทรงประทับในมอลตาในบางฤดูหนาวด้วย

[แก้] ปลายพระชนม์ชีพ

เจ้าชายหลุยส์ทรงถูกบังคับให้ลาออกจากราชนาวีอังกฤษในช่วงเริ่มแรกของสงครามโลกครั้งที่ 1เมื่อภูมิหลังเยอรมันของพระองค์กลายเป็นความลำบากใจ และทั้งสองพระองค์จึงเสด็จไปอยู่ตำหนักเคนต์ บนเกาะไวท์ในช่วงสงคราม ความเป็นปรปักษ์ของสาธารณชนอย่างไม่หยุดยั้งต่อเยอรมนี ทำให้พระมหากษัตริย์ (สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร) ทรงสละพระอิสรยยศเยอรมันทั้งหมด ขณะเดียวกันเจ้าชายหลุยส์และเจ้าหญิงวิกตอเรียก็ทรงสละพระอิสริยยศของพระองค์ และทรงเปลี่ยนชื่อราชสกุลแบ็ตเต็นเบิร์กให้เป็นภาษาอังกฤษว่า เม้านท์แบ็ตเต็น ในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 อีกสามวันต่อมาเจ้าชายทรงได้รับพระราชทานยศขุนนางจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ให้ดำรงพระอิสริยยศเป็นมาร์ควิสแห่งมิลฟอร์ดฮาเว็น หลังจากการปฏิวัติรัสเซียเดือนตุลาคมพวกบอลเชวิคได้ปลงพระชนม์พระขนิษฐาในเจ้าหญิงวิกตอเรียสองพระองค์คือ สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย และ แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย พระชายาในแกรนด์ดยุคเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย

การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายหลุยส์หลังจากสงครามสิ้นสุดลงสามปี เจ้าหญิงวิกตอเรียทรงย้ายไปประทับยังพระราชวังเคนซิงตัน ซึ่งได้รับพระราชทานจากองค์พระประมุขแห่งอักฤษ ในช่วงปี พ.ศ. 2473 พระองค์ทรงดูแลเกี่ยวกับการศึกษาและการเลี้ยงดูเจ้าชายฟิลิป พระนัดดาระหว่างการแยกกันอยู่ของพระชนกและพระชนนีและการดูแลสาธารณประโยชน์ของพระชนนี

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอากาศของนาซีเยอรมันทิ้งระเบิดที่พระราชวังเคนซิงตัน ทำให้เจ้าหญิงวิกตอเรียเสด็จไปประทับยังปราสาทวินด์เซอร์กับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ในช่วงเวลาหนึ่ง

เจ้าฟ้าหญิงวิกตอเรียสิ้นพระชนม์ ณ พระราชวังเคนซิงตัน กรุงลอนดอน โดยพระศพฝังอยู่ที่โบสถ์นักบุญมิลเดร็ด เมืองวิปปิ้งแฮม บนเกาะไว้ท์

[แก้] พระอิสริยยศ

  • พ.ศ. 2406 - พ.ศ. 2427: สมเด็จพระองค์เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ (Her Grand Ducal Highness Princess Victoria of Hesse and by Rhine)
  • พ.ศ. 2427 - พ.ศ. 2460: สมเด็จพระองค์เจ้าหญิงหลุยส์แห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก (Her Grand Ducal Highness Princess Louis of Battenberg)
  • 14 กรกฎาคม - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2460: เลดี้เม้านท์แบ็ตเต็น (Lady Mountbatten)
  • พ.ศ. 2460 - พ.ศ. 2464: ท่านผู้หญิงมาร์ชเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็น (The Most Honourable The Marchioness of Milford Haven)
  • พ.ศ. 2464 - พ.ศ. 2493: ท่านผู้หญิงมาร์ชเนสหม้ายแห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็น (The Most Honourable The Dowager Marchioness of Milford Haven)

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ Hough, Richard (1984). Louis and Victoria: The Family History of the Mountbattens. Second edition. London: Weidenfeld and Nicolson, p.28. 
  2. ^ Hough, p.29
  3. ^ Hough, p.30
  4. ^ Hough, p.34
  5. ^ Hough, p.36
  6. ^ Hough, pp.46–48
  7. ^ Vickers, Hugo (2004), "", Oxford Dictionary of National Biography (Oxford University Press)
  8. ^ Hough, p.50
  9. ^ Hough, p.57
  10. ^ Hough, p.114
  11. ^ Ziegler, Philip (1985). Mountbatten. London: Collins, p.24. ISBN 0002165430. 
  12. ^ Hough, pp.117–122


aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -