พูนศุข พนมยงค์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (2 มกราคม พ.ศ. 2455 - 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2550) เป็นภริยาของรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์ ท่านผู้หญิงพูนศุข เป็นแบบอย่างภริยานักการเมืองที่สมถะ ใช้ชีวิตเรียบง่าย เข้มแข็ง กล้าหาญ และให้อภัย ดำรงชีวิตอย่างสมถะ และมีความสุขอย่างเรียบง่าย
เนื้อหา |
[แก้] ชีวิตก่อนสมรส
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2455 ตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ที่ จ.สมุทรปราการ ในตระกูลขุนนางสกุล ณ ป้อมเพชร์ เป็นธิดาคนที่ 5 บิดาของท่าน คือมหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของประเทศ[1] มารดาคือ คุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิต (สกุลเดิมสุวรรณศร) จบการศึกษาชั้นมัธยม 7 จากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์
[แก้] สมรส
ท่านผู้หญิงพูนศุข สมรสกับ นายปรีดี พนมยงค์ ญาติฝ่ายบิดา ดุษฎีบันฑิตหนุ่มทางกฎหมายจากฝรั่งเศส ซึ่งมีอายุมากกว่า 11 ปีเมื่อปี พ.ศ. 2472 ขณะมีอายุได้ 17 ปี และยังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยม 7 ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ หลังจากสมรสได้เพียง 3 ปี ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยนายปรีดี ผู้เป็นสามีเป็นหนึ่งในผู้ก่อการร่วมด้วย ด้วยเหตุที่เป็นภริยาของผู้ที่เคยเป็นผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเคยเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 หัวหน้าขบวนการเสรีไทย รัฐบุรุษอาวุโส ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ทำให้ท่านผู้หญิงพูนศุข เข้าไปอยู่ในหลายเหตุการณ์ของประวัติศาสตร์การเมืองไทยโดยปริยาย ถูกกลั่นแกล้ง จนต้องระหกระเหินและเผชิญชะตากรรมไม่ต่างไปจากสามี มีบุตรทั้งหมด 6 คนคือ ลลิตา ปาล สุดา ศุขปรีดา ดุษฎี และวาณี
[แก้] เผชิญมรสุมทางการเมือง
เมื่อเกิดการรัฐประหารในคืนวันที่ 8 พ.ย. 2490 คณะรัฐประหารได้นำรถถังบุกยิงถล่มใส่ในบ้านทำเนียบท่าช้าง เพื่อที่จะกำจัดนายปรีดี แต่นายปรีดีได้หลบหนีลงเรือไปก่อนที่คณะรัฐประหารจะบุกเข้ามา และเป็นโชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ท่านผู้หญิงพูนศุขต้องดูแลลูกๆ เพียงลำพัง โดยต้องรับหน้าที่เป็นพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน เพราะสามีต้องหนีภัยการเมืองไปต่างประเทศ
เมื่อตามจับนายปรีดีไม่ได้ คณะรัฐบาลในขณะนั้นก็หันมาจับท่านผู้หญิงพูนศุข และนายปาล พนมยงค์ บุตรชายคนโตแทน เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2495 ด้วยข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร ต้องถูกควบคุมตัวในสถานที่กักกันเป็นเวลานาน 84 วัน นับเป็นการประสบกับมรสุมทางการเมืองครั้งร้ายแรง ท้ายที่สุดภายหลังอัยการสั่งไม่ฟ้องเอาผิด เพราะไม่มีหลักฐาน ก็ได้รับการปล่อยตัว
[แก้] พบกับรัฐบุรุษอาวุโสอีกครั้ง
หลังจากได้รับอิสรภาพแล้ว ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ตัดสินใจเดินทางออกจากประเทศไทย ไปประเทศฝรั่งเศส อังกฤษและสวีเดน กระทั่งได้รับข่าวสารจากสามี ก่อนจะตามไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีน หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันนานถึง 5 ปี และอยู่ร่วมกันที่กรุงปักกิ่งเป็นเวลา 16 ปี จึงได้ย้ายไปอยู่บ้านพักหลังเล็กๆ ที่ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จวบจนกระทั่งนายปรีดี ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 และในปี พ.ศ. 2530 ท่านผู้หญิงพูนศุขจึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยเป็นการถาวร
[แก้] อนิจกรรม
ท่านผู้หญิงพูนศุขถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบ เมื่อเวลา 02:04 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลังจากได้เข้ารักษาอาการทางโรคหัวใจ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม[2] สิริอายุ 95 ปี 4 เดือน มีบุตรและธิดารวมทั้งสิ้น 6 คน
การจัดพิธีไว้อาลัยเป็นไปตามคำสั่งเสียทุกประการ ซึ่งท่านผู้หญิงพูนศุข ได้เขียน "คำสั่ง" กำชับ ด้วยลายมือตนเอง เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2541 ขณะมีอายุ 86 ปี 9 เดือน ทั้งสิ้น 10 ข้อ
[แก้] คำสั่งถึงลูกๆ ทุกคน
เมื่อแม่สิ้นชีวิต ขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
-
- นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที เมื่อหมอตรวจว่าหมดลมหายใจแล้ว
- ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น
- ประกาศทางวิทยุ และลงหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติมิตรทราบ
- ไม่มีการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ไม่รบกวนญาติมิตรที่ต้องมาร่วมงาน
- มีพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยนิมนต์พระที่แม่นับถือแสดงธรรมกถา (เช่นเดียวกับที่จัดให้ปาล) และทำบัตรสำหรับหนังสือที่ระลึก
- ไม่รบกวนญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือเงินช่วยทำบุญ
- เมื่อโรงพยาบาลคืนศพมาก็ทำการฌาปนกิจอย่างเรียบง่าย
- ให้นำอัฐิและอังคารไปลอยที่ปากนํ้าเจ้าพระยาซึ่งเป็นสถานที่แม่เกิด
- หากมีเงินบ้างก็ขอให้บริจาคเป็นทานแก่มูลนิธิต่างๆ ที่ทำสาธารณกุศล
- ขอให้ลูกทุกคนปฏิบัติตามที่แม่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องฟังความเห็นผู้หวังดีทั้งหลาย ลูกๆ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งแม่ จงมีความสุข ความเจริญ
- พูนศุข พนมยงค์
- เขียนไว้ที่บ้านเลขที่ ๑๗๒ สาธร ๓ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๑
- แม่มีอายุครบ ๘๖ ปี ๙ เดือน[3]
ท่านผู้หญิงพูนศุข เคยกล่าวถึงความรู้สึกของตัวท่านเองว่า "เมื่อฉันรำลึกถึงความหลังคราใด ก็รู้สึกซาบซึ้งที่นายปรีดีได้เสียสละและไม่เห็นแก่ตัว... และอดภูมิใจไม่ได้ว่าเป็นภริยานักการเมืองที่มุ่งบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร โดยมิเคยฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและครอบครัวเลย... เหตุการณ์มากมายหลายอย่างได้เข้ามาสู่ชีวิตของฉัน ล้วนสอนให้ฉันได้เข้าใจในสัจจะของโลกอย่างแจ่มชัด... ฉันตั้งอยู่ในเจตนารมณ์ที่บริสุทธิ์ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต อโหสิกรรมกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ถือโกรธเคืองแค้นใดๆ อีก... นั่นคือความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว"
[แก้] เบ็ดเตล็ด
- ท่านผู้หญิงพูนศุข มักกล่าวถึงสามี โดยใช้สรรพนามว่า "นายปรีดี" สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักในการเป็นสามัญชน ถึงแม้ว่าสามีของตนจะได้รับการยกย่องให้เป็นถึงรัฐบุรุษอาวุโส
[แก้] อ้างอิง
- ^ ช่วงหนึ่งแห่งชีวิต ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ นิตยสารสารคดี เมษายน พ.ศ. 2543
- ^ สิ้น"ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์", ประชาไท, 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2550, เรียกดูเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
- ^ คำแถลงการณ์ของทายาทท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์, สถาบันปรีดี พนมยงค์
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
- บทความ ‘รำลึกถึงความหลัง’ โดย ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ จากหนังสือ “วันปรีดี พนมยงค์” 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2536
- ครอบครัวนายปรีดี พนมยงค์กับความประทับใจจากแผ่นดินจีน โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2548