ทอนซิล
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ต่อมทอนซิลเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ในคอ จัดเป็นเนื้อเยื่อชนิดลิมฟอยด์ในระบบน้ำเหลืองที่ปกคลุมด้วยเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ มีหน้าที่กำจัดเชื้อโรค แต่บ่อยครั้งที่ตัวมันเองถูกเชื้อโรคเล่นงาน จนเกิดการอักเสบของต่อมเอง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอมีไข้ กลืนลำบาก เบื่ออาหารร่วมกับต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
เนื้อหา |
[แก้] ลักษณะ
ต่อมทอนซิล (Tonsil) เป็นต่อมน้ำเหลือง 2 ต่อมที่ตั้งอยู่ในช่องปาก มีหน้าที่หลักคือ การจับและทำลายเชื้อโรค ที่จะเข้าสู่ร่างกายทางช่องทางเดินอาหารว่าเป็นด่านแรก หน้าที่รองคือ สร้างภูมิคุ้มกันแต่ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญ หน้าที่หลักคือ การทำลายเชื้อโรคในช่องปากมากกว่า เป็นกับดักของเชื้อโรค ต่อมทอนซิลจะทำงานร่วมกับต่อมน้ำเหลืองอีก 2 ต่อมบริเวณคอ คือ ต่อมอดีนอยด์และต่อมน้ำเหลืองที่โคนลิ้น ต่อมอดีนอยด์และต่อมทอนซิลจะหลั่งอิมมูโนโกลบูลิน ซึ่งทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคที่ลงมาในลำคอ เพื่อคอยต่อสู้กับเชื้อโรคที่มาทางจมูกและลำคอ ต่อมทอนซิลจะทำหน้าที่ด้านระบบภูมิคุ้มกันมากที่สุดเมื่ออายุ 4-10 ปี หลังจากนั้นจะมีขนาดเล็กลง แต่ยังทำงานเกือบตลอดชีวิต ถ้าต่อมทอนซิลมีการอักเสบบ่อยๆ การอักเสบจะทำให้เม็ดเลือดขาวในต่อมทอนซิลลดลง ต่อมทอนซิลจะฆ่าเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันได้ลดลง และในบางครั้งแทนที่ต่อมทอนซิลจะเป็นที่กินเชื้อโรค แต่กลับกลายเป็นที่เก็บเชื้อโรคแทน ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการกลับมาเป็นซ้ำบ่อยๆ
[แก้] โรคที่เกี่ยวกับทอนซิล
โรคของต่อมทอนซิลส่วนใหญ่จะเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ส่วนน้อยเกิดจากเชื้อราหรือเชื้อวัณโรค ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบคทีเรียทั่วไป โรคของต่อมทอนซิลไม่ได้มีแต่โรคติดเชื้ออย่างเดียวบางรายอาจเกิดเป็นโรคมะเร็งได้ด้วย
[แก้] โรคต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis)
อาการของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ ส่วนใหญ่ก็จะไม่รุนแรงมากก็จะเป็นไข้เจ็บคอ แต่ก็มีส่วนน้อยอีกเหมือนกันเช่น โรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส หรือไวรัสบางชนิดก็สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือ การอุดกั้นทางเดินหายใจ เนื่องจากว่าต่อมทอนซิลอยู่ในช่องปากพอดี ถ้าเกิดว่ามีการอักเสบและโตมากก็จะมีการอุดกั้นทางเดินหายใจได้
นอกจากนี้ยังมีโรคแทรกซ้อนทางภูมิคุ้มกัน เกิดภายหลังจากติดเชื้อแบคทีเรีย ชนิดสเตร็ปโตคอคคัส จะทำให้เกิดโรคหัวใจ(Rheumatic Heart Disease)และโรคไตอักเสบ(Postinfectious Glomerulonephritis)
เชื้อเบต้า สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อหัวใจของเด็ก โดยที่เชื้อนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่างๆ และมักมีอาการอักเสบของหัวใจร่วมด้วย เรียกว่า "ไข้รูมาติก" โดยทั่วไปจะพบภายหลังคออักเสบหรือต่อมทอนซิลอักเสบแล้วไม่ได้รับการรักษาภายใน 1 - 4 สัปดาห์ ทั้งนี้เนื่องจากหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือปล่อยให้อาการกำเริบซ้ำๆ จะทำให้หัวใจอักเสบเรื้อรัง และในที่สุดหัวใจก็จะตีบและรั่ว หรือที่เรียกว่า "โรคหัวใจรูมาติก" บางรายอาจต้องได้รับการการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ทำให้สิ้นเปลืองเงินทองและเวลาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เชื้อกลุ่มนี้ยังทำให้เกิดอาการไตอักเสบได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
ต่อมทอนซิล บางครั้งเมื่อมีการอักเสบแล้ว จะทำให้ต่อมทอนซิลโตขึ้นมาก ทำให้มีปัญหาได้ กรณีที่โตมากๆ จะรบกวนการนอน ทำให้เด็กนอนกรน นอนหลับไม่สนิท กระสับกระส่าย บางครั้งรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย ซึ่งการที่ต่อมทอนซิลโตจนรบกวนการนอนหลับนั้น จะมีผลทำให้เด็กโตช้า มีผลต่อการเรียน และในรายที่เป็นมากๆ จะมีปัญหาโรคหัวใจ และโรคปอดตามมา ในรายที่เป็นมากๆ มักจะพบมีต่อมอะดีนอยด์โตร่วมด้วย นอกจากนี้การที่หายใจทางปากเป็นเวลานานๆ จะทำให้โครงหน้าเปลี่ยนไป กระดูกส่วนกลางของใบหน้าเจริญน้อยลง มีการสบฟันที่ผิดปกติ ซึ่งจะมีผลไปตลอดชีวิตของเด็ก
ส่วนใหญ่แล้วโรคต่อมทอนซิลพบมากที่สุดในเด็กอายุก่อน 10 ปี เพราะหลัง 10 ปีไปแล้วก็จะทำงานน้อยลงหรือไม่ทำงานเลย แต่ในผู้ใหญ่อายุน้อยก่อน 20 ปี ก็ยังเป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยที่เป็นต่อมทอนซิลอักเสบนั้นก็จะมีอาการเจ็บคอ เป็นไข้ อาการที่แตกต่างจากเด็กธรรมดาคือ จะมีการกลืนลำบาก กลืนแล้วเจ็บคอ คนไข้เด็กก็จะมีอาการน้ำลายไหลเนื่องจากกลืนลำบากและน้ำลายจะไหลลงไปไม่ได้ ก็จะไหลออกมาให้สังเกตเห็น หรือเจ็บคอมากๆ ก็จะมีอาการอาเจียนหลังจากรับประทานอาหาร เพราะการรับประทานอาหารจะรบกวนลำคอที่เจ็บอยู่ อาการของโรคต่อมทอนซิลจะรุนแรงกว่าโรคเจ็บคอหวัดธรรมดา โรคต่อมทอนซิลอักเสบส่วนใหญ่จะไม่พบคนไข้ในวัยกลางคนไปแล้ว ถ้าพบหลังจากนั้นคนไข้มีต่อมทอนซิลอักเสบหรือเจ็บข้างใดข้างหนึ่งให้นึกถึงโรคมะเร็งของต่อมทอนซิลไว้ด้วย
[แก้] การรักษาโรคต่อมทอนซิลอักเสบ
การรักษาทอนซิลอักเสบจะมีการรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะส่วนใหญ่มาจากเชื้อแบคทีเรียการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อเแบคทีเรียก็เป็นหลักสำคัญในการรักษาโรค และคนไข้ส่วนใหญ่ก็จะหายได้หรือาการดีขึ้นจากการให้ยา สำหรับยาปฏิชีวนะก็มีหลายชนิดแนะนำว่าควรรับประทานตามที่แพทย์สั่งและรับประทานให้นานพอ เช่น 7-10 วัน การรักษาแบบให้ยาปฏิชีวนะแล้วต้องให้การรักษาแบบประคับประคองรวมด้วย เช่น การให้ยาลดไข้ การให้ดื่มน้ำมากๆ หรืออาจต้องให้น้ำเกลือถ้าผู้ป่วยทานอาหารไม่ค่อยได้ และให้ทานอาหารอ่อนๆ
ในกรณีที่ต่อมทอนซิลมีการอักเสบบ่อยครั้ง ผู้ป่วยมักได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ตัดทอนซิลออก หลายคนสงสัยว่าหากตัดต่อมทอมซิลนี้ออกแล้ว อาจมีผลกระทบต่อระบบการป้องกันโรคของร่างกาย หรือมีผลเสียอย่างอื่น ๆ ตามมาหรือไม่ โดยที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของคนเราไม่ได้มีเฉพาะต่อมทอนซิล แต่มีอวัยวะอื่นด้วยเช่น ตับ ม้าม ไขกระดูก และระบบต่อมน้ำเหลืองเป็นต้น การผ่าตัดต่อมทอนซิลออกเพียงอย่างเดียว จึงไม่มีผลกระทบต่อระบบการป้องกันโรคแต่อย่างใด มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่าหลังจากตัดต่อมทอนซิลแล้ว ภูมิคุ้มกันจะลดลงชั่วคราว แต่ไม่พบว่าเด็กติดเชื้อบ่อยขึ้นกว่าปกติ
นอกจากนี้ที่บริเวณคอยังมีต่อมน้ำเหลืองอีกหลายร้อยต่อม ซึ่งจะช่วยกันทำงานหลังจากตัดต่อมทอนซิลไปแล้ว ดังนั้นถ้าเด็กมีอาการตามข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด การผ่าตัดก็น่าจะมีประโยชน์มากกว่าโทษ อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดก็จำเป็นต้องมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน ซึ่งได้แก่ ต่อมทอนซิลที่มีการอักเสบเรื้อรังและบ่อยครั้ง ต่อมที่มีการโตขึ้นมากจนมีผลกระทบต่อการหายใจและการกลืนอาหาร หรือกรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อนมีการลุกลามไปยังหูชั้นกลาง ซึ่งถือเป็นเหตุผลอันควรที่จะทำได้ สำหรับการผ่าตัดต่อมทอนซิลในปัจจุบัน สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย